15 ประเทศถกความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก เพิ่มขีดแข่งขันภูมิภาค

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.ได้ดำเนินการจัดการประชุมหารือแนวทางการใช้ประโยชน์ของห่วงโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรมภายใต้การเจรจาจัดทำกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework : IPEF) ต่อหน่วยงานรัฐและเอกชน
 
โดย สศอ.รับมอบหมายเป็นตัวแทนหลักในการเจรจาด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อส่งเสริมการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะในสาขาและสินค้าที่สำคัญ ป้องกันการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ระบบโลจิสติกส์ สนับสนุน MSMEs พัฒนาแรงงานที่มีทักษะสําหรับห่วงโซ่อุปทานในสาขาที่สําคัญ สร้างมาตรการความโปร่งใสตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งมากขึ้น
 
สำหรับการเจรจากรอบความร่วมมือ IPEF เป็นการเจรจาระหว่างประเทศ มีสมาชิกเข้าร่วม 14 ประเทศ และมีการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) รวมเป็นร้อยละ 40 ของโลก โดยไทยได้เข้าร่วมเจรจาและร่างกรอบความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยเฉพาะการเพิ่มโอกาสในการขยายการค้าไปยังประเทศที่มีกำลังซื้อสูง มีความหลากหลายของวัตถุ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมายังไทย พร้อมทั้งใช้เป็นมาตรฐานในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่าน 4 เสาความร่วมมือ
 
ได้แก่ 1.ด้านการค้า (Trade) 2.ด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) 3.ด้านเศรษฐกิจที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Clean Economy) และ 4.ด้านเศรษฐกิจที่เป็นธรรม (Fair Economy) เพื่อสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
 
ทั้งนี้ ในการเจรจา กระทรวงการต่างประเทศทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเจรจาหลักในภาพรวม และแต่งตั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สศอ.เป็นผู้แทนหลักในเสาความร่วมมือที่ 2 ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่ง สศอ.ได้มีการประชุมหารือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจำนวนหลายครั้ง รวมทั้งจัดสัมมนา เรื่อง “ห่วงโซ่อุปทาน อินโด-แปซิฟิก : โอกาสการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในภูมิภาค” เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อแนวทางการใช้ประโยชน์ของห่วงโซ่อุปทานภาคอุตสาหกรรม ภายใต้ IPEF
 
“ผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัวในด้านความแข็งแรงของห่วงโซ่อุปทานสินค้า เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน โดยผู้ประกอบการจะต้องมีความหลากหลายของแหล่งวัตถุดิบในภูมิภาคและไม่พึ่งพาวัตถุจากแค่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ผู้ประกอบการจะต้องนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลในการอำนวยความสะดวก เพิ่มความโปร่งใส รวมถึงการตรวจสอบย้อนกลับ และด้านแรงงาน ผู้ประกอบการจะต้องอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับห่วงโซ่อุปทาน และด้านสิ่งแวดล้อม โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม” นางวรวรรณกล่าว
 
 
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
 

@Admin TVBC

สนใจสมัครสมาชิกหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายเลขานุการฯ
โทร: 02-018-6888 ต่อ 4340
Email: tvbc.secretariat@gmail.com

:)