ท่องเที่ยวคึกคัก หนุนเศรษฐกิจไทยปี 66 แนวโน้มฟื้นตัว เงินเฟ้อผ่านจุดพีคแล้ว
ธนาคารซิตี้แบงก์ เผยเศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากภาคถดถอยทั่วโลก พร้อมมองเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดแล้ว คาด กนง.ขยับขึ้นดอกเบี้ยจนถึง 2.25% ในไตรมาส 3/66
นางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ธนาคารซิตี้แบงก์ได้นำนักลงทุนเข้าร่วมประชุมออนไลน์กับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับมุมมองต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
โดยพบว่าภาพรวมทุกฝ่ายมีความเห็นสอดคล้องไปทิศทางเดียวกัน ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อยซิตี้มองว่า GDP ของไทยอยู่ที่ราว 4.3% เทียบกับการคาดการณ์ของ ธปท. และ สศค. ที่คาดว่าจะอยู่ 3.8% เป็นไปตามการเติบโตของ GDP ในปี 2565 ที่อยู่ราว 3.2%
ทั้งนี้ ธปท. ยังมองว่าไม่มีความจำเป็นเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ขณะที่ ซิตี้ คาดการณ์ว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุม กนง. ครั้งถัดไป พร้อมมีมุมมองว่าวัฏจักรนี้จะกินระยะเวลานานจนกว่าดอกเบี้ยจะไปแตะที่ 2.25% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เนื่องจาก ธปท.มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถทยอยปรับนโยบายการเงินให้กลับสู่ภาวะปกติต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในเกณฑ์
นอกจากนี้ ธปท. ได้คาดการณ์ GDP ปี 2566 ล่าสุดอยู่ที่ 3.8% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด แต่น้อยกว่าการคาดการณ์ของซิตี้ที่ 4.3% โดยส่วนหนึ่งมาจากการประมาณการด้านการท่องเที่ยวที่อาจจะแตกต่างกัน
โดยช่วงปลายเดือนกันยายน ธปท. คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2565 อยู่ที่ราว 21 ล้านคน แต่ซิตี้คาดการณ์ไว้ที่ 23 ล้านคน
อย่างไรก็ดี ธปท. ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อัตราการค้นหา หาข้อมูลที่พักอาศัยล่วงหน้า 3 เดือน และจำนวนเที่ยวบินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นข้อบ่งชี้ในเชิงบวกสำหรับภาคการท่องเที่ยวของไทย นอกจากนี้ซิตี้มองว่าสถานการณ์การทยอยลดความเข้มงวดของมาตรการ Zero-Covid ในจีน อาจทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ในปีหน้าได้เช่นกัน แต่ยังมีปัจจัยที่เป็นข้อกังวลของการคาดการณ์การเติบโตในปี 2566 เช่น การปรับลดการใช้จ่ายภาคการคลังหลังโควิด และการเติบโตที่ช้าลงของภาคการส่งออก
ด้านเงินเฟ้อ ธปท. มองว่ายังอยู่ในระดับสูง แต่ไม่ได้หยั่งรากฝังลึกในระบบเศรษฐกิจไทย โดยย้ำว่าสภาวะของเงินเฟ้อในประเทศไทยนั้นแตกต่างไปจากเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ซึ่งมาจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปน่าจะผ่านระดับสูงสุดไปแล้วในไตรมาสที่ 3 และคาดว่าจะกลับสู่เป้าหมายในช่วงกลางปี 2566
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจจะยังทรงตัวอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในปี 2565 และ 2566 จากการทยอยส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิต ทั้งนี้หากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกปรับลงมากกว่าที่คาด อาจมีความเสี่ยงขาลงในการคาดการณ์เงินเฟ้อครั้งนี้
ขณะเดียวกัน สศค. มีความคิดเห็นสอดคล้องไปกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาไม่ได้ส่งกระทบกับภาคอุตสาหกรรมเป็นวงกว้าง ซึ่งไม่น่าจะส่งผลกับการคลังและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ
ทำให้สศค.คาดว่าการเติบโตของ GDP ในปี 2565 จะอยู่ที่ 3.4% และในปี 2566 อยู่ที่ 3.8% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมองว่าอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายระดับสูงในช่วงปีหน้า
ด้าน สบน. คาดว่าเงินทุนที่ต้องระดมต่อปีในช่วงระยะปานกลาง จะยังคงสูงต่อเนื่อง อยู่ที่ราว 2.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นเกือบสองเท่าของปี 2562 หรือช่วงก่อนโควิด เนื่องจากต้องใช้เวลาอีกระยะจนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ในขณะที่การระดมเงินทุนสำหรับปี 2566 อยู่ที่ราว 2.216 ล้านล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าในปี 2564 เพราะความต้องการของเงินชดเชยช่วงโควิดลดลงตั้งแต่ 2565 ทำให้ในภาพรวมแม้ว่าจะมีความท้าทายของสภาพการเงินทั่วโลกที่มีการตึงตัว แต่สภาพคล่องของการเงินในประเทศยังคงอยู่ในระดับดี สามารถรองรับแผนการกู้ของสบน.ได้ ซึ่งในปี 2566 ยังคงมีการหาแหล่งทุนที่หลากหลายเพื่อบริหารต้นทุน รวมถึงรักษาระดับความเสี่ยงของหนี้สาธารณะและคงระดับหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศในระดับต่ำต่อไป
ที่มา : PPTV Online