กกร. เร่งรัฐฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพิ่มเม็ดเงินสู่ฐานราก

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้แถลงผลการประชุมโดยเศรษฐกิจไทยเดือนเมษายน 2563 หดตัวไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การผลิต การบริโภคและการลงทุน ซึ่งที่ประชุม กกร. เห็นว่า ภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว โดยเน้นโครงการที่เพิ่มเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานราก และฟื้นฟูธุรกิจท้องถิ่นเพื่อสร้างงานอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ
 
ทั้งนี้ กกร. มองว่า การเร่งผลักดันการใช้วงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ภายใต้พระราชกำหนด 5 แสนล้านบาท ให้มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว จะมีส่วนสนับสนุนภาคธุรกิจเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้สามารถประคองกิจการต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ 
 
จึงเห็นว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันหารือและบริหารจัดการให้เงื่อนไขต่างๆ ของการปล่อยสินเชื่อในทางปฏิบัติมีความคล่องตัวมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เช่น อาจให้ บสย. เข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มเติม หลังสิ้นสุดโครงการ 2 ปี ตาม พ.ร.ก. (โครงการ PGS-9)
 
นอกจากนี้ ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการระบาดของโควิด-19 และเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย สร้างความท้าทายต่อทิศทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจในช่วงข้างหน้า การกลับมาพึ่งพาแรงขับเคลื่อนจากปัจจัยภายในประเทศจึงเป็นสิ่งที่ต้องเร่งผลักดัน กกร. จึงเสนอให้มีการประชุมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อให้มีเวทีสำหรับการหารือนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างจริงจัง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง อาทิ การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19, การขับเคลื่อนโมเดล BCG เป็นต้น
 
สำหรับปัญหาภัยแล้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดย กกร.มีความเป็นห่วง และขอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอในการบริหารจัดการน้ำ รวมทั้ง เร่งดำเนินโครงการเพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากปัจจุบันยังมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ
 
กกร. มีข้อสรุปในเรื่องข้อตกลง CPTPP โดยเห็นควรสนับสนุนให้ประเทศไทย เข้าร่วมเจรจากับกลุ่มประเทศภายใต้ข้อตกลง CPTPP ในเดือนสิงหาคม 2563 เนื่องจากการเข้าร่วมเจรจาทำให้เห็นถึงผลดีหรือผลเสียต่อการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีตามข้อตกลง CPTPP ซึ่งกระบวนการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีนั้น มีขั้นตอนเป็นลำดับขั้น ซึ่งประกอบด้วย การขอเข้าร่วมเจรจา การเข้าร่วมเจรจากับประเทศภาคี หลังจากเจรจาเสร็จแล้ว ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณา 
 
ซึ่งขณะเดียวกันต้องมีการรับฟังประชาพิจารณ์ผลการเจรจาด้วย และสุดท้ายต้องเสนอให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ ซึ่งต้องใช้เวลาในทุกกระบวนการอย่างน้อย 4 ปี และประเทศไทยสามารถยุติการเจรจาในทุกขั้นตอนได้หากเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ 
 
กกร. เห็นว่าการเข้าร่วมเจรจาจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยทราบถึงข้อตกลง และเป็นประโยชน์สำหรับการปรับตัวของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้ในเวทีโลก โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม ASEAN
 
 
ที่มา : Thai Chamber
วันที่ 10 มิถุนายน 2563

@Admin TVBC

สนใจสมัครสมาชิกหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายเลขานุการฯ
โทร: 02-018-6888 ต่อ 4340
Email: tvbc.secretariat@gmail.com

:)