SCGP ทุ่ม 2.7 พันล้านบาท ปิดดีลซื้อหุ้น SOVI ประเทศเวียดนาม
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดดีลซื้อ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในตลาดหุ้นเวียดนาม มูลค่ารวม 2,700 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ ม.ค.64 เป็นต้นไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เช้าวันนี้ (18 ธ.ค.63) เรื่อง การควบรวมกิจการกับ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศเวียดนาม ที่มีความเชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกและกล่องเคลือบลามิเนท
โดย SCGP เข้าซื้อหุ้น SOVI จำนวน 12,076,587 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 94.11% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 171,450 ดอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,070 พันล้านดอง หรือ 2,700 ล้านบาท โดยดำเนินธุรกรรมผ่านบริษัทย่อย TCG Solutions Pte. Ltd. ที่ถือหุ้นทั้งหมดโดยบริษัทกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ จำกัด (TCG) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SCGP และ Rengo Company Limited ประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ SCGP จะแสดงงบดุลรวมของ SOVI ณ สิ้นปี 2563 ในขณะที่จะรับรู้รายได้จาก SOVI และแสดงในงบการเงินรวมตั้งแต่เดือน ม.ค.64
ด้าน นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ดีลการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร (ค่า P/E) 14.3 เท่า ขณะที่ประสิทธิภาพในการทำกำไรของบริษัทเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นและหนี้สินสุทธิ (EV/EBITDA) อยู่ที่ 9 เท่า โดยข้อดีของการลงทุนนี้จะช่วยให้ SCGP ขยายฐานลูกค้าในประเทศเวียดนามได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา SOVI มียอดขาย 2,100 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% เทียบกับฐานกำไรของ SCGP ที่ระดับ 7,000 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา SOVI มียอดขาย 2,100 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% เทียบกับฐานกำไรของ SCGP ที่ระดับ 7,000 ล้านบาทต่อปี
ในส่วนของโอกาสการเติบโตของบริษัทฯ SCGP มีแผนขยายธุรกิจต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายผลักดันยอดขายให้เติบโต 100% ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งในปี 2564 คาดว่าจะเห็นการเติบโตที่ชัดเจนจากโครงการที่สร้างเสร็จและมีรายได้แล้ว (Brownfield) 4 โครงการ ที่ทยอยเริ่มเปิดดำเนินการ เชื่อว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้ SCGP ได้ถึง 9,000 ล้านบาทต่อปี
เมื่อสอบถามถึงคำแนะนำลงทุน นายประสิทธิ์ กล่าวว่า เนื่องจากจำนวนหุ้นหลังการขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) น้อยกว่าสมมติฐานของฝ่ายวิจัย จากการใช้สิทธิหุ้นส่วนเกิน (Green Shoe) เพียง 39.37 ล้านหุ้น (สูงสุดไม่เกิน 169 ล้านหุ้น) รวมถึงดีลการซื้อกิจการใหม่ที่มีต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยจึงอยู่ระหว่างทบทวนสมมติฐานในการประเมินราคาเหมาะสม
“เบื้องต้นคาดว่าราคาเหมาะสม (Fair Value) จะปรับขึ้นจาก 41.00 บาท เป็น 44.00-45.00 บาท แนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว โดยเราคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้เติบโต 33% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 6,999 ล้านบาท และกำไรสุทธิปีหน้าเติบโต 19% ไปอยู่ที่ 8,335 ล้านบาท” นายประสิทธิ์ กล่าว
ที่มา Business Today
วันที่ 18 ธันวาคม 2563