อุตสาหกรรม ปี 64 ฟื้นรับสัญญาณ เอ็มพีไอ พ.ย.โตรอบ 19 เดือน
เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น มีผลต่อคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจากการที่หลายประเทศมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และได้รับข่าวดีจากความคืบหน้าของวัคซีนโควิด-19 ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการผลิตและการบริโภคกระเตื้องขึ้น ส่งผลต่อต่อภาคอุตสาหกรรมในประเทศ
ทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ในส่วนของประมาณการภาคอุตสาหกรรมในปี 2564 คาดว่าการเติบโตของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) จะขยายตัวในระดับ 4-5% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่คาดว่าจะหดตัว 8% ส่วนจีดีพีภาคอุตสาหกรรมในปี 2564 จะขยายตัว 4-5% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่หดตัว 7% โดยประมาณการในปี 2564 ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 29-32 บาทต่อดอลลาร์ และราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ เป็นผลจากแรงส่งของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนพ.ย.2563 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.35% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือนนับจากเหตุการณ์สงครามการค้าและการระบาดของโควิด- 19 สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการควบคุมการระบาดได้ดีและมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะการขยายตัวเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมสำคัญอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 10.02%โดยการจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการระบาด ในขณะที่การส่งออกหดตัวเล็กน้อย 0.87% นับเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือนเช่นกัน
“แม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ในไทย แต่คาดว่าดัชนี MPI ในเดือน ธ.ค.นี้จะยังคงทรงตัว เพราะสาธารณสุขของไทยมีประสบการณ์ในการควบคุมการแพร่ระบาดที่ดี ประกอบกับการที่มีข่าวเรื่องวัคซีนโควิด-19 รวมทั้งยังไม่มีการล็อคดาวน์ทั้งประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยดำเนินการไปได้และยังคงมีความเชื่อมั่น”
สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศทยอยกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในประเทศอันเนื่องมาจากมาตรการของภาครัฐที่กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งส่งผลในแง่บวกสะท้อนได้จากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญอย่างอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมที่ขยายตัว 4.95% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้น 10.02% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนพ.ย. ที่ขยายตัวเพิ่มจากระดับ 63.19% ในปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 64.80 % ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพ.ย. กลับมาขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.ที่ 1.77%
อุตสาหกรรมหลักที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในชีวิตวิถีใหม่ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6% และอุตสาหกรรมถุงมือยางขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.71%
ในขณะที่อุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่เริ่มฟื้นกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ได้แก่ รถยนต์ และเครื่องยนต์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.02% เนื่องจากความต้องการซื้อในกลุ่มสินค้ารถปิคอัพและรถยนต์นั่งขนาดเล็กขยายตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีปัจจัยหลักจากกำลังซื้อในประเทศฟื้นตัวได้ดีขึ้น ตามราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวสูง และการเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงงาน Motor Expor 2020 (2-13 ธ.ค.2563) รวมถึงคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าต่าง ๆ ที่เริ่มมีมากขึ้น
น้ำมันปิโตรเลียม ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.95% เนื่องจากโรงกลั่นและบริษัทหลายแห่งหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในปีก่อน แต่ปีนี้มีการซ่อมบำรุงเพียงบางแห่งและเริ่มกลับมาผลิตตามปกติแล้ว ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.71% เนื่องจากความต้องการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้น
เภสัชภัณฑ์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.61% มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.29% จากผลิตภัณฑ์มอเตอร์และหม้อแปลงไฟฟ้า เนื่องจากความต้องการใช้ในช่วงการกักตัวอยู่บ้านของลูกค้าประเทศต่าง ๆ โดยเป็นมอเตอร์ปั๊มน้ำสำหรับสระว่ายน้ำ ส่งผลให้การส่งออกเพิ่มขึ้น 82.66% สำหรับหม้อแปลงไฟฟ้าเดือนนี้ผลิตเป็นหม้อแปลงขนาดเล็กกำลังไฟต่ำจึงผลิตได้มากกว่าปกติ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 ธันวาคม 2563