หอการค้าไทยคาด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดันจีดีพีปีนี้ แตะ 3 %
หอการค้าไทยเผยผลสำรวจประชาชนปลื้มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาเป็นอัน 1 รองลงมาคนละครึ่ง เรียกร้องให้มีต่อ ขณะที่เงินสะพัดวันมาฆบูชา 2,357.03 ลดต่ำสุดในรอบ 6 ปี
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงการสำรวจทัศนคติต่อมาตรการ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การเข้าร่วมโครงการต่าง ๆของภาครัฐ พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 92.7% คนละครึ่ง 88.2% เราเที่ยวด้วยกัน 61.3% เราชนะ 75.6% ม.33 เรารักกัน 100.00% เห็นว่าอยากให้มีโครงการเหล่านี้ต่อไป โดยส่วนใหญ่ให้คะแนนความพึงพอใจกับมาตรการเหล่านี้ เพราะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย ลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งในภาพรวมกลุ่มตัวอย่างให้คะแนนในระดับที่สูงเฉลี่ยเกิน 6 คะแนนจากคะแนนเต็มสิบคะแนน และมาตรการที่เป็นอันดับหนึ่งในใจประชาชนคือ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รองลงมาคือมาตรการคนละครึ่ง อันดับสามคือเราชนะ อันดับสี่เที่ยวด้วยกัน และสุดท้ายมาตรการเรารักกัน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างเห็นว่ายังมีปัญหาในด้านต่าง ๆเช่น เครื่องรูดบัตรสวัสดิการเสีย ระบบไม่เสถียรมีปัญหาบ่อยเกินไป ทำให้ต้องรอนาน 40.5%ร้านค้าอยู่ไกลเกินไป ร้านที่เข้าร่วมโครงการมีน้อย 26.4%ราคาสินค้าแพงขึ้น 10.8% วงเงินน้อยไป 6.1% ส่วนมาตรการคนละครึ่งระบุว่า แอปพลิเคชั่นล่ม ระบบล่าช้า รอนานเกินไป 45.4% จำนวนเงินน้อยเกินไป 16.8%สินค้ามีราคาแพงมากขึ้น และมีสินค้าเข้ารวมโครงการน้อยเกินไป 12.0%
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ส่วนมาตรการเราเที่ยวด้วยกันกลุ่มตัวอย่างระบุว่ามีปัญหาคือ ต้องมีการจองล่วงหน้าก่อนเดินทาง ขั้นตอนที่ยุ่งยากในการใช้งาน 48.3% เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เลยไม่ได้เดินทาง 25.7% การเก็บเงินเพิ่มของที่พัก 10.4% ส่วนมาตการเราชนะ กลุ่มตัวอย่างระบุว่าอยากได้เงินสดมากกว่า ใช้จ่ายอย่างอื่นไม่ได้ 44.2% เงื่อนไขและกำหนดการเยอะเกินไป 29.5% ร้านค้าอยู่ไกล และตั้งราคาสินค้าแพง และสินค้าน้อย 13.8% และมาตรการ เรารักกัน ระบุว่า เงื่อนไขการแบ่งแยกกลุ่ม และการกำหนดวันในการเข้าถึงสิทธิ์เยอะเกินไป 32.2% งานประจำก็มีค่าใช้จ่ายและได้รับผลกระทบเหมือนกัน 23.7 % ระบบการลงทะเบียนมีปัญหาบ่อย 16.9% เป็นต้น
แม้จะมีมาตรการของรัฐออกมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ยังติดลบ 1-2 % และเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นในไตรมาสที่สองและขยายตัวได้ประมาณ 4-4.5% จากเม็ดเงินที่ลงไป 2.5 แสนล้านบาทโดยประมาณ ซึ่งเมื่อรวมทุกมาตรการของรัฐแล้วคาดว่า จะมีผลทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้ของไทยให้เพิ่มขึ้นได้จากเดิม 1.76% และการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นจะมีเม็ดเงินจากการหาเสียงในช่วงไตรมาสสองและสาม ทำให้โดยเฉลี่ยครึ่งแรกของปีเศรษฐกิจไทยจะโต 1.5% ส่วนครึ่งปีหลังจะขยายตัว ประมาณ 4.5% ซึ่งทุกอย่างแล้วคาดว่า ปีนี้จีดีพีจะขยายตัว 2.8-3.0%และหากมีปัจจัยอื่นมาเสริมทั้งการการกระจายของวัคซีนต้านโควิด-19 มีประสิทธิภาพ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในโครงการทราเวล บับเบิ้ล ก็มีโอกาสที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ในปีนี้ได้ 3-3.5%
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า นอกจากนี้ศูนย์ยังได้สำรวจทัศนคติ พฤติกรรมและการใช้จ่าย ช่วงวันมาฆบูชา ของกลุ่มตัวอย่าง 1,215 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 10 - 16 ก.พ. 2564 พบว่า มีเงินสะพัดรวม 2,357 ล้านบาท ติดลบ 9.38 % ซึ่งถือว่าต่ำสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 เนื่องจากในปีนี้ประชาชนยังกังวลการระบาดของโควิด-19 รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศยังไม่ดีนักโดยประชาชนส่วนใหญ่ มีการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวแต่ที่ไม่มีแผนเดินทางไปทำบุญและทำกิจกรรมวันมาฆบูชา ทำให้งความคึกคักของกิจกรรมวันมาฆบูชาปีนี้น้อยลงกว่าในปีที่ผ่านมา
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564