เวียดนามให้ความสำคัญต่อการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนเป็นอันดับแรก
การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสมัยที่ 13 ได้กำหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศจนถึงปี 2030โดยถือความมั่นคงของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เป็นเป้าหมายเพื่อมุ่งปฏิบัติและเป็นปัจจัยที่ค้ำประกันให้แก่การพัฒนาการเมืองและสังคม ซึ่งเพื่อปฏิบัติเป้าหมายดังกล่าว เวียดนามถือการสร้างสรรค์สังคมที่มีระเบียบวินัยเป็นหน้าที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆเพื่อค้ำประกันให้ประชาชนทุกคนสามารถดำรงชีวิตในบรรยากาศที่ปลอดภัยและโปร่งใส
สถานการณ์ความผันผวนด้านความมั่นคงโลกทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงความเข้าใจด้านความมั่นคง โดยความมั่นคงที่รู้จักกันมาแต่เดิมนานคือการปกป้องเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ ส่วนความเข้าใจเกี่ยวกับความมั่นคงรูปแบบใหม่ในปัจจุบันคือให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆต่อการปกป้องความมั่นคงของมนุษย์และค้ำประกันให้ประชาชนทุกคนสามารถดำรงชีวิตอย่างอิสระเสรีและปลอดภัย ความมั่นคงของมนุษย์คือปัจจัยสำคัญเพื่อมีส่วนร่วมค้ำประกันเสถียรภาพทางการเมืองและสังคม
ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามสมัยที่ 13 ประเด็นความมั่นคงของมนุษย์ถูกย้ำว่า เป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าและความยุติธรรมทางสังคมเพื่อมุ่งสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตและความผาสุกของประชาชน การค้ำประกันการรักษาความมั่นคงแห่งชาติต้องปฏิบัติควบคู่กับความมั่นคงของมนุษย์ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอินเตอร์เน็ต การสร้างสังคมที่เป็นระเบียบเรียบร้อย มีวินัยและความมั่นคงนอกอาณาเขต ซึ่งพลเอก โตเลิม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงรักษาความมั่นคงทั่วไปได้ยืนยันสิ่งนี้ในการประชุมเกี่ยวกับการ ศึกษาวิจัยเพื่อความเข้าใจมติของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯสมัยที่ 13 ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เมื่อวันที่ 28มีนาคมที่ผ่านมา
“พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามถือมนุษย์และ
ความมั่นคงของมนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกกิจกรรม โดยการปกป้องความมั่นคงของมนุษย์เป็นทั้งเป้าหมายที่ต้องการปฏิบัติ และเป็นพลังขับเคลื่อนที่ค้ำประกันให้แก่เสถียรภาพทางการเมือง สังคม การสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศอย่างเข้มแข็งและรุ่งเรืองตลอดไป มติของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯสมัยที่ 13 กำหนดว่า การรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญเป็นอันดับต้นๆในชีวิตของประชาชน ดังนั้นการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติก็คือการปกป้องชีวิตของประชาชน”
มติดังกล่าวได้ระบุถึงการเป็นฝ่ายรุกในการป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือทุกสภาวการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ความพร้อมในการสู้รบควบคู่กับแนวโน้มการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพอย่างยั่งยืน
การต่อสู้เพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศมีเป้าหมายสุดท้ายคือสร้างสรรค์และรักษาบรรยากาศที่เอื้อให้แก่การดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและปลอดภัยของประชาชนทุกคนเพราะประชาชนจะสามารถสร้างสรรค์ชีวิตที่อิ่มหนำผาสุกได้ก็ต่อเมื่อประเทศมีความมั่นคง ซึ่งเมื่อประชาชนมีชีวิตที่อิ่มหนำผาสุกแล้ว ก็จะพยายามทำงานและผลักดันการผลิต อันขะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการมีชีวิตที่สงบสุขเป็นเงื่อนไขชี้ขาดให้ประชาชนสร้างฐานะและการที่ประชาชนพยายามสร้างฐานะจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างเข้มแข็ง ความแข็งแกร่งของประเทศสะท้อนให้เห็นจากการมีเศรษฐกิจที่พัฒนาอย่างเข้มแข็ง การเมืองมีความมั่นคงและสังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
เวียดนามให้ความสำคัญต่อสิทธิของประชาชนในการดำรงชีวิตอย่างปลอดภัย
ในฟอรั่มพหุภาคีต่างๆ เวียดนามได้แสดงความพร้อมในการร่วมมือกับทุกประเทศและองค์กรระหว่างประเทศเพื่อยกระดับและค้ำประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ โดยในการปฏิบัติหน้าที่ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประจำเดือนเมษายนปี 2021หนึ่งใน 3ประเด็นสำคัญที่เวียดนามเน้นทำการหารือในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติคือการค้ำประกันให้ประชาชนในเขตที่เกิดการปะทะสามารถดำรงชีวิตอย่างปลอดภัยและมีเสถียรภาพ นาย โด๊ะหุ่งเหวียด อธิบดีกรมองค์กรระหว่างประเทศสังกัดกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้เผยว่า“เวียดนามมีความประสงค์ว่า จะส่งเสริมประเด็นดังกล่าวเพื่อให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและประเทศต่างๆให้ความสนใจปกป้องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อประชาชนในเขตที่เกิดการปะทะ เช่น สถานีอนามัย โครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า น้ำประปา ความมั่นคงด้านอาหาร โรงเรียนและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ”
เวียดนามยืนหยัดปฏิบัติเป้าหมายส่งเสริม ปกป้องและค้ำประกันสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกคน โดยความมั่นคงของมนุษย์ถือเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการพัฒนาประเทศ เวียดนามกำลังผลักดันภารกิจการพัฒนาประเทศและการผสมผสานเข้ากับกระแสโลก โดยมีทั้งโอกาสและความท้าทายต่างๆ ซึ่งกระบวนการต่อสู้เพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติจะมีส่วนร่วมผลักดันภารกิจการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยและนำประเทศก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ที่มา vovworld.vn
วันที่ 30 มีนาคม 2564