จีนคุมเข้มโควิดยืดเยื้อ 2 ปี ผลักไสนักธุรกิจต่างชาติไหลออก
มาตรการของรัฐบาล “จีน” ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ ด้วยการบังคับใช้มาตรการจำกัดการเดินทางอย่างเข้มงวด กลายเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเสี่ยงที่ผู้บริหาร นักธุรกิจต่างชาติที่ทำงานในประเทศจีนจะไหลออกอย่างต่อเนื่อง
ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานว่า หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ (AmCham Shanghai) เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดพบว่า บริษัทอเมริกันใน “เซี่ยงไฮ้” จำนวน 388 แห่ง กว่า 70% ประสบปัญหาในการเพิ่มหรือรักษาจำนวนพนักงานชาวต่างชาติ เป็นผลมาจากข้อจำกัดด้านการเดินทางของทางการจีนที่บังคับใช้อย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดช่วงเวลากักตัวสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในจีนเป็นเวลาถึง 3 สัปดาห์ รวมถึงการลดปริมาณการอนุมัติวีซ่าสำหรับนักธุรกิจต่างชาติและครอบครัว ทำให้ผู้บริหารชาวต่างชาติตัดสินใจอพยพออกจากประเทศจีน
“เคอร์ กิบส์” ประธานหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า ข้อจำกัดเหล่านี้สร้างความยากลำบากให้กับนักธุรกิจชาวต่างชาติในการเดินทางเข้าออกประเทศจีน ซึ่งกลายเป็นความเสี่ยงที่เร่งให้นักธุรกิจต่างชาติไหลออกจากจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทั่วโลกกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง
“แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยการทำงานหนักและจิตวิญญาณของผู้ประกอบการชาวจีน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเปิดประตูสู่โลกภายนอกเป็นปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนผ่านจีนให้มีสถานะเป็นตลาดที่มีความสำคัญและก้าวหน้าที่สุดในโลก” กิบส์ระบุ
เช่นเดียวกับหอการค้าอเมริกันใน “ฮ่องกง” ที่เปิดเผยว่า ในปีนี้มีบริษัทอเมริกันที่ใช้ฮ่องกงเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคอยู่จำนวน 254 แห่ง ลดลงถึง 10% จากปี 2020 และถือว่ามีจำนวนน้อยที่สุดในรอบ 18 ปี
นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติในบางพื้นที่ของจีนก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะในพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจีนที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ค่อนข้างหนัก เช่น หอการค้าอเมริกันใน “เฉิงตู” ที่ได้รับคำสั่งให้ปิดดำเนินงานมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว
กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริการะบุถึงกรณีดังกล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นกรณีตัวอย่างล่าสุดที่แสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่ไม่ชัดเจน และการออกคำสั่งตามอำเภอใจของทางการจีน ซึ่งเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนของชาวต่างชาติมากขึ้น”
ทั้งนี้ จีนใช้มาตรการปิดกั้นพรมแดนและจำกัดจำนวนผู้เดินทางเข้ามาในประเทศมาเป็นเวลานานกว่า 18 เดือน แม้ว่ามาตรการเข้มงวดดังกล่าวจะส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตภายในประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว แต่การกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ก็ส่งผลให้ทางการจีนกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ราว 2 ใน 3 ของประเทศในขณะนี้
ล่าสุดในวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกประกาศเตือนให้ประชาชนในบางพื้นที่กักตุนอาหารและของใช้จำเป็น เตรียมความพร้อมสำหรับกรณีที่ทางการประกาศใช้มาตรการฉุกเฉิน เพื่อการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามแนวทาง “โควิดเป็นศูนย์” (zero COVID) ของรัฐบาล
“จงหนานซาน” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโคโรนาไวรัสและที่ปรึกษาของรัฐบาลจีน ระบุว่า แนวทาง “โควิดเป็นศูนย์” ถือว่ามีต้นทุนค่อนข้างต่ำ และ “แนวทางนี้จะยังคงดำเนินต่อไป จนกว่าทั้งโลกจะสามารถควบคุมโรคระบาดได้”
ขณะที่ “เออร์นัน ชุย” นักวิเคราะห์ผู้บริโภคจีนของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน “เกฟคัล ดราโกโนมิกส์” คาดว่าจากความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาดก่อนหน้านี้ เป็นไปได้ว่ารัฐบาลจีนจะบังคับใช้ข้อจำกัดด้านการเดินทางต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งน่าจับตาถึงผลกระทบต่อชาวต่างชาติในจีน โดยเฉพาะเมื่อปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาวในเดือน ก.พ. 2022 นี้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2564