บิ๊กเอกชนผวา “โอไมครอน”ทุบซํ้า GDP ไทย ลุ้นวัคซีนเอาอยู่
บิ๊ก “สรท.-หอการค้า-สภาอุตฯ” ประสานเสียงโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน”เสี่ยงสุดฉุดเศรษฐกิจ-การค้าโลกชะลอตัว ผวาทุบจีดีพี-ส่งออกไทยปี 65 หดตัว ลุ้นบริษัทวัคซีนเอาอยู่ คาดจีดีพีไทยปีหน้าขยายตัวได้ 2-6% ส่งออกโต 5% จากฐานปี 64 สูง แข่งขันส่งออกโลกเพิ่มอุณหภูมิเดือด
ทิศทางขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) ไทยปี 2565 เบื้องต้น ทุกสำนักชี้มีทิศทางสดใส จะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 โดยส่วนใหญ่คาดจีดีพีปีหน้าจะขยายตัวได้เฉลี่ย 2-6% จากภาคส่งออกยังขยายตัวต่อเนื่อง ภาคบริการท่องเที่ยว ลงทุน และการบริโภคในประเทศจะกลับมาฟื้นตัวหลังเปิดประเทศ แต่ล่าสุดมีปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่ทั่วโลกจับตามองคือ โควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ที่ระบาดได้รวดเร็ว พบผู้ติดเชื้อแล้วเกือบ 20 ประเทศ หากวัคซีนเอาไม่อยู่และมีการล็อกดาวน์ประเทศกันอีกครั้ง อาจส่งผลให้เศรษฐกิจ การค้า การบริโภค การท่องเที่ยวของโลกกลับมาชะลอตัวอีกครั้ง
“โอไมครอน” เสี่ยงสุด :
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจัยเสี่ยงมากสุด 5 อันดับแรกต่อเศรษฐกิจและการส่งออกของไทยในปี 2565 จากสถานการณ์ ณ ปัจจุบันได้แก่
1).การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่และสายพันธุ์ใหม่ (โอไมครอน) ในหลายพื้นที่ อาทิ ยุโรป ซึ่งแพร่ระบาดได้รวดเร็วในวงกว้าง หากเชื้อเข้าสู่ไทยได้และเกินกำลังความสามารถในการรับมือด้านสาธารณสุข จะส่งผลให้ภาครัฐต้องออกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด อาทิ ล็อกดาวน์หรือปิดประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักหรือมีการชะลอตัวลง ไม่ว่าจะเป็นภาคบริการ การท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม การผลิต การขนส่ง ท้ายที่สุดแล้วจะกระทบเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่สามารถขยายตัวมากขึ้นได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
2).ปัญหาคอขวดห่วงโซ่อุปทานที่ยืดเยื้อ จากการขาดแคลนตู้สินค้าซึ่งส่งผลต่อเนื่องให้ค่าระวางเรือทรงตัวอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานานอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2565 การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งกดดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมา ส่งผลกระทบต่อกำลังการซื้อของผู้บริโภค
3).วิกฤติพลังงานของประเทศจีนที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อการส่งออก-นำเข้าของโลก 4.สถานการณ์การเงินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและความสามารถในการชำระหนี้ และความคล่องตัวของเงินทุนโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SME มีจำกัด ทำให้ภาคการบริโภคของเอกชนยังคงซบเซา และ 5.การขาดแคลนแรงงาน จากการปิดประเทศส่งผลให้แรงงานต่างด้าวที่เดินทางกลับประเทศ ไม่สามารถกลับเข้ามาทำงานได้ตามปกติ ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ปัจจุบันยังขาดแคลนแรงงานประมาณ 4-5 แสนคน ส่งผลต่อเนื่องถึงภาคส่งออกที่เป็นภาคหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ
“โควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องจับตามองว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรปมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกของไทย ทั้งนี้ปี 2564 คาดการส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 12-14% ส่วนปีหน้าคาดจะขยายตัวได้ในเบื้องต้นประมาณ 5% จากฐานตัวเลขส่งออกปี 64 ที่สูง และทั่วโลกแข่งขันส่งออกมากขึ้น ส่วนจีดีพีปีนี้คาดขยายตัวได้ 0.7-1% และปีหน้าจะขยายตัวได้ 2% เป็นอย่างต่ำ (ยังไม่นับรวมปัจจัยเสี่ยงจากโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่ต้องประเมินกันอีกครั้ง)”
ลุ้นบริษัทวัคซีนเอาอยู่ :
สอดคล้องกับนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 5 อันดับแรก ณ เวลานี้
1).ความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิดซึ่งต้องจับตาโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” จะมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการเปิด-ปิดประเทศของประเทศต่าง ๆ คาดใน 5-10 วันนับจากนี้จะมีความชัดเจนถึงแนวโน้มความรวดเร็ว รุนแรงของการระบาด รวมทั้งผลการวิจัยของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนว่าจะเอาอยู่หรือไม่
2).ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นในทุกสาขาภาคการผลิต จากมีความต้องการใช้กันทั่วโลกพร้อมๆ กัน เช่น ชิปที่ยังขาดแคลน ในอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอโอที รวมถึงวัตถุดิบทางการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม วัตถุดิบฝ้ายที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีนมีไม่เพียงพอ เป็นต้น
3).ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมัน ถ่านหิน และค่าขนส่ง 4.ปัญหาขาดแคลนแรงงานภาคการผลิต 5. พื้นที่ระวางเรือ และตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้ายังขาดแคลน และค่าระวางเรือที่ทรงตัวในระดับสูง
“ปี 2564 คาดจีดีพีไทยจะขยายตัวได้ 1% หรือมากกว่า 1% ซึ่งต้องลุ้น โดยยังมีโอกาสอีกหนึ่งช่วงคือ ช่วงเทศกาลปลายปีทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ที่จะมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น แต่ต้องรอดูว่าสถานการณ์จะเอื้อหรือไม่โดยมีเรื่องโควิดเป็นตัวแปร ส่วนปี 2565 เบื้องต้นจีดีพีไทยถ้าทำได้ 2% ขึ้นไปก็ถือว่าน่าพอใจ เพราะเศรษฐกิจปกติในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้เฉลี่ย 3% ถ้าไม่ต่ำกว่านี้ก็ถือว่ามีความก้าวหน้าระดับหนึ่ง แม้จะไม่หวือหวา แต่ถือว่าประคองตัวไปได้ ส่วนส่งออกปี 2564 น่าจะขยายตัวได้บวก-ลบ 15% ส่วนปี 2565 คาดจะขยายตัวได้ประมาณ 5% จากทุกประเทศกลับมาผลิตส่งออก และมีการแข่งขันกันมากขึ้น”
ศก.จีนหดตัวแปรฟื้นตัวโลก :
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยมากสุด 5 อันดับแรกเวลานี้ได้แก่
1). ความเสี่ยงจากการกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส โดย ล่าสุดสายพันธุ์ “โอไมครอน” จัดอยู่ในสายพันธุ์ที่น่ากังวล ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาดูว่า จะเกิดการระบาดใหญ่อีกครั้ง จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ครั้งใหม่หรือไม่
2).ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ กระทบต่อการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม
3.ปัญหาด้านโลจิสติกส์ระหว่างประเทศจากต้นทุนการขนส่งสินค้าทางเรืออยู่ในระดับสูง ราคาค่าขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 40% รวมทั้งการเพิ่มขึ้น ของราคาค่าบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าประกันภัยทางทะเล ค่าประกันสินค้าที่ ขนส่งทางทะเล ฯลฯ 4.อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากราคาน้ำมันดิบที่พิ่มขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ ที่เร่งตัวขึ้นตามอุปสงค์ในตลาดโลก 5.เศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะกระทบต่อเส้นทางการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจโลก
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 2 ธันวาคม 2564