แอร์ไลน์ผวา ผลศึกษาชี้โอมิครอนเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อบนเครื่องบิน 2 เท่า
ที่ปรึกษาไออาต้า (IATA) เผย ผู้โดยสารเครื่องบินมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าในระหว่างการเดินทาง แม้จะมีระบบระบายอากาศที่ดีเยี่ยม และมีความเสี่ยงต่ำกว่าการนั่งในบาร์หรือฟิตเนส แต่ก็ถือว่าเสี่ยงเพราะมีเพื่อนร่วมทาง ซึ่งอาจจะมีบางจุดที่ควบคุมได้ยาก
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างอิงการให้สัมภาษณ์ของนายเดวิด พาวเวล แพทย์และที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ หรือ ไออาต้า (IATA) ระบุ ผู้โดยสารเครื่องบิน มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ระหว่างเที่ยวบิน
นายพาวเวลเปิดเผยว่า เที่ยวบินชั้นธุรกิจมีแนวโน้มปลอดภัยมากกว่าชั้นประหยัดซึ่งมีคนใช้บริการหนาแน่นกว่า พร้อมแนะนำให้ผู้โดยสารหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกัน หรือสัมผัสบนพื้นผิวที่มีการจับต้องบ่อย และหากต้องรับประทานอาหารบนเครื่องบินก็ควรสลับเวลากันในแถว เพื่อให้คนอื่น ๆ ยังสวมหน้ากากอนามัยอยู่ ในขณะที่อีกคนถอดหน้ากากเพื่อรับประทานอาหาร
อย่างไรก็ดี ที่ปรึกษาของไออาต้ากล่าวว่า แม้การโดยสารเครื่องบินจะมีความเสี่ยง แต่การอยู่ในสถานที่ที่มีคนหนาแน่นมาก เช่น ศูนย์การค้าต่าง ๆ นั้น ก็ยังคงมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก เนื่องจากเครื่องบินสมัยใหม่นั้นจะมีระบบกรองอากาศเกรดเดียวกับที่ใช้ในโรงพยาบาล
ทั้งนี้ เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญในการรักษามาตรการควบคุมโรค อาทิ การสวมหน้ากากอนามัยอย่างเคร่งครัดบนเครื่องบิน การหมั่นล้างมือให้สะอาด และการรักษาระยะห่างจากผู้โดยสารคนอื่น ๆ โดยสิ่งที่ป้องกันการติดเชื้อได้ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนให้ครบทุกเข็ม รวมถึงการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ตามคำแนะนำทางการแพทย์
สำหรับผู้ที่วิตกกังวลว่าควรงดการนั่งเครื่องบินไปเลยหรือไม่นั้น นายพาวเวลกล่าวว่า แม้เครื่องบินจะเป็นสถานที่ปิด แต่ก็มีระบบระบายอากาศที่ไหลเวียนได้ดีมาก ดังนั้น การนั่งเครื่องบินยังถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าการนั่งในบาร์ที่มีคนหนาแน่น หรือในฟิตเนสที่มีคนตะโกนออกเสียงและมีเหงื่อออกอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าการนั่งเครื่องบินนั้นเป็นการคมนาคมที่มีเพื่อนร่วมทาง ซึ่งอาจจะมีบางจุดที่ควบคุมได้ยาก ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า การนั่งเครื่องบินจึงมีความเสี่ยง ผู้โดยสารควรได้รับการฉีดวัคซีน ตรวจเชื้อ สวมหน้ากาก และเว้นระยะห่าง และหากใครรู้สึกไม่สบาย ควรงดการโดยสารเครื่องบินเพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้โดยสารคนอื่นๆ
ส่วนประเด็นที่ว่าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์นั้นดีกว่าหน้ากากผ้าหรือไม่ นายพาวเวลระบุว่า หน้ากากอนามัยทางการแพทย์มีประสิทธิภาพดีกว่าหน้ากากผ้าราว 10-20%
ทั้งนี้ พนักงานดูแลบนเครื่องบินไม่จำเป็นต้องสวมชุดป้องกันเต็มรูปแบบ ทั้งชุด PPE รวมถึงเฟซชิลด์ปกป้องใบหน้า เพราะสถิติที่ผ่านมา พบการติดเชื้อจากผู้โดยสารไปยังพนักงานบนเครื่องบินค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่จะเป็นการติดเชื้อระหว่างกลุ่มผู้โดยสารด้วยกันเอง หรือกลุ่มพนักงานบนเครื่องบินด้วยกันเอง เพียงแต่ต้องเพิ่มความรัดกุมในการรักษามาตรการสกัดโรคดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น และติดตามข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโอมิครอน
ในกรณีของผู้โดยสารที่เป็นเด็กนั้น นายพาวเวลระบุว่า ความเสี่ยงที่เด็กเล็กจะป่วยหนักจากการติดเชื้อระหว่างเดินทางนั้นอยู่ในระดับต่ำ เพราะโดยปกติเด็กมีโอกาสต่ำมากอยู่แล้วที่จะป่วยหนักจากโควิด แต่ก็มีความเสี่ยงที่พวกเขาอาจจะติดเชื้อที่ไม่รุนแรง และอาจแพร่เชื้อขณะเดินทาง เนื่องจากเด็กเล็กอาจจะไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 23 ธันวาคม 2564