ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนเพิ่มเป็น 1,780 ราย กรุงเทพมหานครพบมากสุด
ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนเพิ่มเป็น 1,780 ราย กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนตรวจ ATK ก่อนกลับมาทำงาน พร้อมสังเกตอาการตลอด 14 วัน
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยข้อมูลผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนล่าสุด พบจำนวนเพิ่ม 229 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,780 ราย โดยจังหวัดที่พบมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร ร้อยเอ็ด ชลบุรี และภูเก็ตตามลำดับ
ขณะที่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การระบาดของโควิดในช่วงหลัง พบจุดที่น่าเป็นห่วงคือการแพร่ระบาดลักษณะคลัสเตอร์ในหลายจังหวัดที่มีร้านอาหารกึ่งผับเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ จากการติดตามสอบสวนโรคพบว่า ร้านเหล่านี้ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting คือมีระบบระบายอากาศไม่ดี จัดที่นั่งแออัด ไม่มีการเว้นระยะห่าง พนักงานไม่สวมหน้ากากอนามัย มีการจำหน่ายสุราและแสดงดนตรี รวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ซึ่งหลังสิ้นสุดเทศกาลปีใหม่ คนกลุ่มนี้อาจได้รับเชื้อโควิด และเมื่อกลับมาเรียนหรือทำงานอาจนำเชื้อมาแพร่กระจายต่อได้
ดังนั้น ก่อนเดินทางกลับทางสาธารณสุขขอให้ประชาชนทำการตรวจคัดกรองด้วย ATK และเมื่อกลับมาถึงหากสามารถทำงานที่บ้านได้ให้ทำงานที่บ้านเป็นเวลา 14 วัน แต่หากต้องเริ่มปฏิบัติงานทันทีขอให้ตรวจ ATK ก่อนเข้าทำงาน และในสัปดาห์แรกให้ตรวจ 2 ครั้งห่างกันอย่างน้อย 3 วัน พร้อมทั้งเฝ้าระวังอาการจนครบ 14 วัน และงดการรวมกลุ่มพูดคุย/รับประทานอาหาร หากเกิดการติดเชื้อในโรงงานไม่จำเป็นต้องปิดโรงงาน แต่ขอให้ใช้มาตรการ Bubble & Seal เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อออกภายนอก
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข จะประชุมติดตามสถานการณ์ทุกวัน เพื่อปรับมาตรการต่างๆ ให้ทันสถานการณ์ สำหรับประชาชนขอให้ยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัวเองขั้นสูงสุด หลีกเลี่ยงการไปสถานที่เสี่ยง เช่น ร้านที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting และหากพบขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่เพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุง รวมทั้งขอให้ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ทั้งผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง สตรีมีครรภ์ ติดต่อขอรับวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน เนื่องจากข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศยืนยันตรงกันว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานต่อเชื้อโควิด ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 3 มกราคม 2565