1.3 หมื่นล้าน "เที่ยวด้วยกัน" เฟส 4 เริ่มจอง ก.พ.ชง ศบค. 20 ม.ค.คลายล็อกฟื้นเทสต์แอนด์โก
เมื่อวันที่ 18 มกราคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด-19 (ศบค.) ในวันที่ 20 มกราคมนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่าได้เชิญ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค หารือและชี้แจงให้ฟังว่าในการพิจารณามาตรการใดๆ ให้คำนึงถึงมิติเศรษฐกิจ การทำมาหากิน และการใช้ชีวิต เพื่อให้ประชาชนดำเนินชีวิตเป็นปกติมากที่สุด กรมควบคุมโรคแถลงไปแล้วว่าแม้เชื้อโอมิครอนติดเชื้อได้เร็ว
แต่จากวิจัยที่รายงานเข้ามานั้นพบว่ามีความรุนแรงน้อย รวมถึงเราอยู่ในจุดที่รับมือได้ เพราะฉีดวัคซีนได้ตามเป้า และมีแนวปฏิบัติเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด จากนี้เราต้องเสนอให้ปรับมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับปกติ แต่ก็ต้องปลอดภัยด้วย เรื่องพื้นที่สีจังหวัดก็ต้องปรับ ขอให้ทบทวน พิจารณาจากหลายมิติ เศรษฐกิจต้องเดินได้ แต่หากมีรายงานการติดเชื้อเพิ่มขึ้นต้องรองรับการจัดการได้ พร้อมสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตและให้ความร่วมมือ
รัฐมนตรีว่าการ สธ.กล่าวว่า ขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือต่อไป เพราะยิ่งให้ความร่วมมือมากจะนำไปสู่การผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ภาครัฐจะกล้าตัดสินใจ วันนี้เราเห็นประชาชนไม่ใช่ไม่รู้สึก ได้พูดกับอธิบดีกรมควบคุมโรคว่าต้องเข้าใจการทำมาหากินของประชาชน เพราะข้าราชการยังไงก็มีเงินเดือน แต่ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง อยู่ได้เพราะเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ ถ้าเศรษฐกิจหยุดก็อยู่ลำบาก
ผู้สื่อข่าวถามถึงการผ่อนคลายสถานบันเทิง นายอนุทินกล่าวว่า ตรงไหนความเสี่ยงสูงจะต้องพิจารณาละเอียด เราเข้าใจปัญหาของผู้ประกอบการ และหาทางผ่อนคลาย อย่างการขอเปลี่ยนรูปแบบจากผับบาร์มาเป็นภัตตาคาร เราเข้าใจ ก็ยอมดำเนินการตาม แต่ก็ขอให้เป็นร้านอาหารจริงๆ มีมาตรการแบบร้านอาหาร ไม่ใช่ไปเปิดเป็นผับบาร์
เมื่อถามว่าจะมีการเสนอ ศบค.ให้กลับมาใช้มาตรการเทสต์แอนด์โกหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า สธ.คงเสนอให้พิจารณาเรื่องเทสต์แอนด์โกกลับมาใหม่ แต่ตอนนี้มีการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้น ทุกอย่างต้องไปจบที่ ศบค. ขอย้ำว่าเราเสนอทุกอย่าง เพราะอยากให้ประชาชนได้คลายความเดือดร้อน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก และมีวิทยาการทางการแพทย์คอยค้ำจุนอยู่ จึงกล้าเสนอ
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงเตรียมเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเพิ่มสิทธิในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 อีก 2 ล้านสิทธิหรือห้อง ภายใต้วงเงินงบประมาณ 13,200 ล้านบาท หลังจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 จำนวน 2 ล้านสิทธิหรือห้อง มีประชาชนจองใช้สิทธิครบเต็มจำนวนแล้ว รวมถึงจะเสนอให้ขยายการดำเนินโครงการทัวร์เที่ยวไทย
จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 มกราคม 2565 ออกไปจนถึงในวันที่ 30 เมษายน 2565 แต่ขอปรับเปลี่ยนจำนวนสิทธิ จากเดิมกำหนดไว้ จำนวน 1 ล้านสิทธิ ที่รัฐบาลจะช่วยสมทบค่าแพคเกจทัวร์ท่องเที่ยวในสัดส่วน 40% ของราคาเต็ม สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาทต่อสิทธิ ปรับลดลงเหลือเพียง 200,000 สิทธิเท่านั้น เนื่องจากมีผู้จองใช้สิทธิจนถึงวันที่ 17 มกราคม 2565 จำนวนสิทธิคงเหลือมากถึง 972,718 สิทธิ หรือสิทธิถูกใช้ไปเพียง 27,282 สิทธิเท่านั้น โดยจะนำรายละเอียดเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 25 มกราคม 2565
นายพิพัฒน์กล่าวว่า รายละเอียดของทั้ง 2 โครงการ ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการกลั่นกรองเงินกู้ตาม พ.ร.ก.เงินกู้โควิดฯ ที่มีเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธานเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าแม้เก็บจำนวนสิทธิของโครงการทัวร์เที่ยวไทยเอาไว้ 200,000 สิทธิ
รัฐยังคงให้การสนับสนุนเป็นวงเงิน 1,000 ล้านบาท ก็น่าจะยังเหลืออยู่ เพราะพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวไทยในช่วงแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ได้นิยมเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยวมากเท่าที่ควร และหันมานิยมท่องเที่ยวเองมากกว่า เห็นได้จากการจองสิทธิในโครงการเราเที่ยวด้วยกันได้รับความนิยมมาก ยืนยันว่าทางรัฐบาลไม่ได้ยุติโครงการทัวร์เที่ยวไทย แต่ปรับจำนวนสิทธิลดลงจากเดิมกำหนดไว้ 1 ล้านสิทธิ ให้คงเหลือ 2 แสนสิทธิแทน ปัจจุบันใช้ไปแล้ว 2 หมื่นกว่าสิทธิเท่านั้น
“จากที่บริษัททัวร์นำเที่ยวอยากให้คงสิทธิโครงการทัวร์ทั่วไทยไว้ที่ 1 ล้านสิทธิเท่าเดิมนั้น ขอถามกลับไปว่า ขณะนี้มีคนเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์เหลือมากน้อยเท่าใดในสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ทำไมต้องดึงวงเงินที่ไม่ได้ใช้ร่วมกว่า 4,000 ล้านบาท เอาไว้ด้วย หากบริษัทนำเที่ยวสามารถขายแพคเกจทัวร์ผ่านโครงการทัวร์เที่ยวไทยได้หมด 200,000 สิทธิ อย่างที่กำหนดไว้ให้ได้ กระทรวงก็พร้อมจะเสนอของบประมาณเพิ่มเติมก้อนใหม่ให้กับโครงการทัวร์เที่ยวไทยดำเนินการต่อ” นายพิพัฒน์กล่าว
นายพิพัฒน์กล่าวว่า สำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 วงเงิน 13,200 ล้านบาท จำนวน 2 ล้านสิทธิหรือห้องนั้น เบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มให้ประชาชนจองสิทธิได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และสิ้นสุดการใช้สิทธิภายในเดือนกันยายน 2565 กระทรวงคาดว่าจำนวน 2 ล้านสิทธิดังกล่าวน่าจะถูกใช้หมดภายในเดือนเมษายนนี้ เนื่องจากเข้าช่วงสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ของตลาดนักท่องเที่ยวภายในประเทศ มีวันหยุดยาวต่อเนื่องในเทศกาลสงกรานต์หลายวันเป็นปัจจัยสนับสนุนด้วย
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 18 มกราคม 2565