เปรียบเทียบต้นทุนรถอีวี-รถยนต์ใช้น้ำมัน ระยะยาวทีมไหนถูกกว่า
ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงาน ทั้งน้ำมัน และค่าไฟฟ้าก็สูงขึ้นเช่นกัน จึงเกิดตั้งคำถามว่า จริงหรือไม่ที่การชาร์จไฟรถอีวีถูกกว่ารถน้ำมัน ?
วันที่ 22 มีนาคม 2565 ซีเอ็นบีซี รายงานว่า แม้ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา และจริงหรือไม่ที่การชาร์จรถอีวีจะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่ารถใช้น้ำมัน
แม้จะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงมานานหลายปีแล้ว เมื่อเทียบไมล์ต่อไมล์ว่า โดยทั่วไปการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าถูกกว่าการเติมน้ำมันมาก
และนั่นเป็นจุดขายสำคัญของเทสลาและผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่น ๆ โดยเฉพาะยิ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงเช่นตอนนี้ แต่รอบนี้มีข้อแม้เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจากการรุกรานยูเครน แต่ราคาไฟฟ้าก็สูงขึ้นเช่นกัน
จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า ยังจริงหรือไม่ที่การชาร์จไฟรถอีวีถูกกว่ามาก ?
แผนภูมิด้านล่างแสดงให้เห็นค่าใช้จ่ายต่อระยะเดินทาง 100 ไมล์ของรถอีวีและยานพาหนะที่ใช้น้ำมันซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ในตลอด เมื่อเวลาผ่านไป
แผนภูมิแรก ใช้ตัวเลขทั่วสหรัฐ เป็นข้อมูลพื้นฐาน อีกด้านหนึ่งใช้ข้อมูลเฉพาะบอสตันและซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็น 2 พื้นที่ที่ตลาดรถอีวีเป็นที่นิยมและเป็นที่ซึ่งไฟฟ้ามีแนวโน้มจะราคาแพงกว่าค่าเฉลี่ยของสหรัฐ
คำตอบจากกราฟทั้ง 3 คือ แม้ว่าราคาไฟฟ้าจะสูงในบางภูมิภาคก็ตาม แต่การเติมเชื้อเพลิงน้ำมันก็ยังแพงกว่าการชาร์จแบตเตอรี่รถอีวีอยู่พอสมควร
แม้อัตราค่าไฟฟ้าใกล้เคียงกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในบอสตันและซานฟรานซิสโก อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้วทั่วสหรัฐ การเพิ่มระยะทางต่อ 100 ไมล์ ในรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงนั้นมีราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับการชาร์จอีวีในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ?
แม้ขณะนี้ ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงอย่างแน่นอนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากผู้ผลิตเพิ่มกำลังการผลิต แต่ก็ไม่น่าจะทำให้ราคาไฟฟ้าสูงขึ้นจนคนเลิกใช้รถอีวี
เดวิด เคลลี นักวิเคราะห์ได้คำนวณเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าจากข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ต้นทุนตลอดอายุการเป็นเจ้าของรถอีวีนั้นน้อยกว่ารถยนต์เชื้อเพลิงอยู่ประมาณ 4,700 เหรียญ (ประมาณ 1,580,000 บาท)
เขากล่าวด้วยว่าความแตกต่างของต้นทุนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อรถอีวีออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น และในขณะที่ราคาแบตเตอรี่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 22 มีนาคม 2565