สำนักข่าวเกียวโดรายงานอ้างแหล่งข่าววงในที่ออกมาเปิดเผยว่า ทางการจีนมีแผนที่จะระงับการส่งเสริมนโยบาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ หรือ Common Prosperity ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เพื่อมุ่งหน้าใช้นโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่แทน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงคุกคามการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนที่ปัจจุบันมีรอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาการระบาดของไวรัสโควิดระลอกใหม่ กับสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน

 

ทั้งนี้ Common Prosperity เป็นแนวนโยบายหลักในการพัฒนาประเทศของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ และกระจายทรัพยากรกับความมั่งคั่งให้กับประชาชนชาวจีนได้อย่างครอบคลุมทั่วถึง โดยจีนเริ่มใช้นโยบายดังกล่าวอย่างจริงจังเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา

 

แม้จะเต็มไปด้วยเจตนาที่ดี แต่ความพยายามของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในการบรรลุสู่ความมั่งคั่งร่วมกัน ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนของจีนลดลง เนื่องจากเป้าหมายสู่ความมั่งคั่งร่วมกันได้สร้างภาระหนักให้กับภาคธุรกิจ

 

ทั้งนี้ แหล่งข่าววงในระบุว่า ท่ามกลางสัญญาณการเติบโตช้าลงที่เห็นได้ชัดเจน และความจำเป็นในการบังคับใช้มาตรการ Zero COVID อย่างเข้มงวด ทำให้มาตรการจัดระเบียบธุรกิจองค์กรอย่างเข้มงวดจะยิ่งกระตุ้นให้เศรษฐกิจจีนโดยรวมหดตัวลงมากกว่าเดิม

 

หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ในช่วงเวลาที่การประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติจีนกำลังจะมาถึง ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงที่เตรียมจะดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเป็นสมัยที่ 3 น่าจะปรับเปลี่ยนทิศทางและนโยบาย โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มีเสถียรภาพเป็นหลัก เพื่อหวังให้จีนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก และมีแนวทางรับมือกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกที่หยุดชะงัก

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า หากพิจารณาจากปัจจัยคุกคามทั้งหมด ทำให้ หลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งรับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจและการเงิน เสนอให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงระงับแผนการส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันเอาไว้ชั่วคราว พร้อมตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับภาษีและทรัพย์สินออกไปก่อน

 

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่งกลับมามองว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงน่าจะกลับมาดำเนินมาตรการ ‘ความเจริญรุ่งเรื่องร่วมกัน’ หลังจัดการรักษาตำแหน่งผู้นำประเทศต่อไป

 

ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Common Prosperity ทางการจีนได้ยกระดับกฎระเบียบในการกำกับดูแลบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ จนสร้างความกังวลว่านวัตกรรมในอุตสาหกรรมไฮเทคของจีนจะถูกขัดขวาง

 

วันเดียวกัน ทางธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ออกแถลงการณ์เปิดเผยแผนการที่จะยกระดับมาตรการช่วยเหลือทางการเงินให้แก่อุตสาหรรม ธุรกิจองค์กร นักธุรกิจ และเจ้าของกิจการทั้งหลายที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น และลดความเสียหายจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

 

การยกระดับมาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ ผู้บริหารธนาคารกลางจีนกล่าวว่า ทาง PBOC จะสนับสนุนให้บรรดาสถาบันการเงินของจีนขยายสินเชื่อวงเงินกู้ยืม ชะลอการชำระคืนเงินกู้อย่างสมเหตุสมผล และงดเว้นดอกเบี้ยหรือค่าปรับกรณีที่มีการค้างชำระ ตลอดจนขอความร่วมมือให้ทางธนาคารทั้งหลายระงับกิจกรรมแสวงหากำไรเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดอย่างเต็มที่

 

นอกจากนี้ ทางธนาคารกลางจีนยังแนะนำสถาบันการเงินจีนเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

 

สำหรับความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางจีนในครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากที่มีสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิดระลอกใหม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังการบริโภคภายในประเทศ บวกกับปัญหาหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์และยอดการส่งออกที่ลดลง ทำให้การเติบโตในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แม้จะดีกว่าที่คาดหมายไว้ที่ 4.8 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีแนวโน้มที่ไม่ค่อยสดใส ทั้งปัจจัยภายในจากมาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดเพื่อสกัดโควิดระบาด และปัจจัยภายนอกอย่างสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน

 

ธนาคารกลางจีนยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ทางธนาคารกลางจะเป็นผู้กำหนดการชำระเงินดาวน์ขั้นต่ำและอัตราดอกเบี้ยในระดับที่สมเหตุสมผลสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ และหาแนวทางเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินที่เหมาะสมแก่บรรดานักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบรรดาบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เพื่อช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนกลับมามีเสถียรภาพดังเดิมและมากขึ้นกว่าเดิม

 

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางจีนย้ำว่า สถาบันการเงินทั้งหลายควรตอบสนองความต้องการด้านสินเชื่อของบรรดาบริษัทขนส่งและโลจิสติกส์ โดยครอบคลุมถึงเหล่าคนขับรถบรรทุกอย่างจริงจัง เพราะจะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับการสนับสนุนระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนโดยรวมของจีน

 

ที่มา the standard

วันที่ 19 เมษายน 2565