"มาครง" นอนมา คว้าชัยเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสสมัยที่2
"เอ็มมานูเอล มาครง" คว้าชัยเลือกตั้ง ได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นสมัยที่สอง ลั่นนโยบายจะทำให้ฝรั่งเศสที่มีอิสระมากขึ้น ผลักดันให้ยุโรปมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเดินหน้าลงทุนเพื่อสร้างฝรั่งเศสให้เป็นประเทศที่มีระบบนิเวศอันยอดเยี่ยมภายใน 5 ปีข้างหน้า
ผลเอ็กซิทโพลซึ่งเผยแพร่โดยสถานีโทรทัศน์ BFMTV ของ ฝรั่งเศส บ่งชี้ว่า นายเอ็มมานูเอล มาครง ได้รับชัยชนะใน การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (24 เม.ย.)
สื่อต่างประเทศรายงานผลการนับคะแนนเบื้องต้นระบุว่า นายมาครงได้คะแนนโหวต 58.6% แซงหน้านางมารีน เลอเปน คู่แข่งจากพรรคเนชันแนล ฟรอนต์ (FN) ซึ่งได้คะแนนโหวต 41.4%
นายมาครง พร้อมด้วยนางบริจิตต์ มาครง ภรรยา ได้ประกาศชัยชนะบนเวทีซึ่งจัดขึ้นที่ช็องเดอมาร์ส (Champs-de-Mars) ในกรุงปารีส โดยนายมาครงกล่าวกับบรรดาผู้สนับสนุนว่า ความตั้งใจของเขาในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ คือการทำให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีความเป็นอิสระมากขึ้น รวมทั้งการผลักดันให้ยุโรปมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเดินหน้าการลงทุนเพื่อสร้างฝรั่งเศสให้เป็นประเทศที่มีระบบนิเวศอันยอดเยี่ยม
ชัยชนะของนายมาครงเป็นไปตามความคาดหมายของสื่อส่วนใหญ่ หลังจากทั้งนายมาครงและนางเลอเปนได้ประชันวิสัยทัศน์ร่วมกันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 เม.ย. โดยผลสำรวจของสถานีโทรทัศน์ BFMTV ระบุว่า ผู้ชมการถ่ายทอดสดจำนวน 59% ให้นายมาครงเป็นฝ่ายชนะการดีเบต
ขณะที่สำนักพนันที่ถูกกฎหมายในอังกฤษซึ่งรวมถึงเบตแฟร์และแลดโบรค ต่างก็ฟันธงไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า นายมาครงมีโอกาสมากกว่า 90% ที่จะเอาชนะนางเลอเปนในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย.
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์กล่าวว่า คะแนนเสียงส่วนหนึ่งของนายมาครงมาจากนักลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดการเงินของฝรั่งเศสซึ่งวิตกว่าหากนางเลอเปนคว้าชัยชนะและขึ้นมาเป็นผู้นำฝรั่งเศสคนใหม่ก็จะผลักดันให้ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งจะสร้างความเสี่ยงและความไม่เชื่อมั่นต่อนักลงทุน
ทั้งนี้ สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นทันทีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงเช้านี้ (25 เม.ย.) หลังมีรายงานว่า นายเอ็มมานูเอล มาครง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส โดยเงินยูโรแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.0810 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0789 ดอลลาร์ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (22 เม.ย.)
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 25 เมษายน 2565