สภาพัฒน์ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ: สัญญาณร้ายเศรษฐกิจไทย? โดย ดร.ดอน นาครทรรพ
HIGHLIGHTS
* สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกโต 2.2% ดีกว่าคาด แต่ได้ปรับคาดการณ์ทั้งปีลงจาก 3.5-4.5% เหลือ 2.5-3.5% ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ต่ำกว่าของ ธปท. ที่ประเมินไว้ 3.2%
* การปรับลดคาดการณ์ ทางสภาพัฒน์ให้เหตุผลว่า เป็นผลจากความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและค่าครองชีพในประเทศ
* มองไปข้างหน้า ความท้าทายเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ยังมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอย และแนวโน้มที่เศรษฐกิจจีนชะลอแรงจากโอมิครอน
* แต่เราอาจประเมินการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศและแรงหนุนต่อเศรษฐกิจต่ำไป ขอเพียงรัฐบาลสามารถบริหารจัดการปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพได้ดี เศรษฐกิจไทยน่าจะมี Upside
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แถลงตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี และช่วงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทั้งปีที่ร้อยละ 2.5-3.5 ต่อปี ลดลงจากช่วงคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 3.5-4.5 ต่อปี
ตัวเลขแรกซึ่งดีกว่าที่หลายสำนักคาดไว้พอสมควร (คาดการณ์เฉลี่ยของตลาดอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ต่อปี) ไม่ได้เป็นข่าวร้ายมากนัก แต่ความสนใจไปอยู่ที่การปรับลดช่วงคาดการณ์ จากเดิมที่มีร้อยละ 3.5 ต่อปีเป็นขอบล่าง ปรับมาเป็นขอบบน
ปกติแล้วเวลาตัวเลขไตรมาสที่ดีกว่าคาด สภาพัฒน์มักจะปรับช่วงคาดการณ์ตัวเลขทั้งปีขึ้น หรืออย่างมากก็ให้ไว้เท่าเดิม แต่รอบนี้เป็นการปรับในทิศทางที่ตรงกันข้าม
ยิ่งไปกว่านั้นค่ากลางที่ร้อยละ 3.0 ต่อปี ยังต่ำกว่าประมาณการล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี ซึ่งปกติเราแทบไม่เคยเห็นแบบนี้ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น
เมื่อลงไปดูในรายละเอียดพบว่า เป็นการปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวในทุกองค์ประกอบหลัก โดยสภาพัฒน์ให้เหตุผลว่า เป็นผลจากความขัดแย้งของรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลลบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและค่าครองชีพในประเทศ
อย่างไรก็ดี ผมไม่อยากให้มองเศรษฐกิจไทยในเชิงลบมากเกินไป ที่สำคัญเศรษฐกิจไทยตามคาดการณ์ของสภาพัฒน์ยังเป็นขาขึ้นอยู่ โดยต่อให้เศรษฐกิจไทยปีนี้โชคร้าย ขยายตัวได้เท่ากับแค่ขอบล่างของช่วงคาดการณ์ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี ตัวเลขนี้ก็ยังสูงกว่าตัวเลขอัตราการขยายตัวในปีที่แล้วที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี และตัวเลขการขยายตัวในไตรมาสแรกของปีที่ร้อยละ 2.2 ต่อปี ตามลำดับ
ตัวเลขล่าสุดของสภาพัฒน์ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 3.0 หรือไม่ เพราะคิดว่าสภาพัฒน์มีแนวโน้มที่จะให้ตัวเลขที่สูงไว้ก่อน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาข้อมูลจากรายงาน Asia Pacific Consensus Forecasts ฉบับล่าสุด (เดือนพฤษภาคม 2565) ซึ่งสำรวจความเห็นของสำนักวิจัยทั้งของไทยและต่างประเทศ 22 สำนัก พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 โดยมีเพียง 5 สำนักวิจัยเท่านั้นที่ให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 3.0 ต่อปี ซึ่งเป็นสำนักวิจัยในประเทศเกือบทั้งหมด สะท้อนว่าสำนักวิจัยต่างประเทศมีมุมมองบวกกว่าสำนักวิจัยไทย
มองไปข้างหน้า ความท้าทายของเศรษฐกิจไทยไม่ได้มีเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่ยังมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และแนวโน้มที่เศรษฐกิจจีนจะชะลอลงแรงจากการระบาดของโอมิครอน
อย่างไรก็ดี ในภาวะที่เศรษฐกิจมีความผันผวน ผมเชื่อในหลักการ Prepare for the worst, hope for the best. ในช่วงแรกของขาลง เราประเมินการหายไปของนักท่องเที่ยวต่างประเทศและแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจต่ำไป ในช่วงแรกของขาขึ้น เราก็อาจประเมินการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศและแรงหนุนต่อเศรษฐกิจต่ำไปเช่นกัน ขอเพียงรัฐบาลสามารถบริหารจัดการปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพได้ดี เศรษฐกิจไทยน่าจะมี Upside ได้ครับ
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่มา the standard
วันที่ 19 พฤษภาคม 2565