ธปท.รับถก สรท. 16 มี.ค. แก้ปม "บาทแข็ง" กระทบส่งออก โอดปล่อยสวิงเร็ว ผู้ส่งออกเริ่มขาดทุน
ธปท.รับถก สรท. 16 มี.ค. แก้ปม "บาทแข็ง" กระทบส่งออก โอดปล่อยสวิงเร็ว ผู้ส่งออกเริ่มขาดทุน ปธ.สรท. ชี้ไตรมาสแรกส่งออกลบ 3-4%
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวเสริมที่เมืองดูไบ ว่าแนวโน้มส่งออกเดือนมกราคม 2566 มูลค่าน่าจะใกล้กับเดือนธันวาคมปีก่อน หรือประมาณกว่า 2.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือบวก 3% เมื่อเทียบมกราคมปีก่อน และมีโอกาสส่งออกไตรมาสแรกปีนี้ติดลบ 3-4% เนื่องจากฐานส่งออกปีก่อนสูง ก่อนหน้านี้ประเทศนำเข้าตุนสินค้าไว้มากแล้ว และค่าเงินบาทแข็งและสวิงเร็ว ทำให้ผู้ส่งออกเริ่มเจอปัญหาขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากนั้นเข้าไตรมาส 2 กำลังซื้อทั่วโลกจะกลับมาพีค ทั้งเริ่มสต๊อกใหม่ ท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะชาวจีนออกเที่ยวทั่วโลก หลังอั้นมานาน ค่าบาทเริ่มอ่อนอีกครั้ง
“เงินบาทแข็งค่าจากนั้นน่าจะอีกเดือนเศษ ซึ่งในวันที่ 16 มีนาคม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ สรท.เข้าพบ หลังจากได้ยื่น 5 ข้อเรียกร้องในการแก้ปัญหาผลกระทบ จากนี้ความผันผวนของค่าเงินจะมากขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และควรใช้หลากหลายสกุลในการซื้อขายกันโดยตรงไม่ต้องอ้างอิงเงินเหรียญสหรัฐ เช่น บาทกับหยวน บาทกับเยน บาทกับริงกิต บาทกับรูเปียห์ ซึ่งได้ผลักดันผ่าน ธปท.เพื่อเจรจาในทางเทคนิคและกระตุ้นให้ธนาคารต่างๆ รับลูก” นายชัยชาญกล่าว
นายชาญชัยกล่าวว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม 2565 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกมีมูลค่า 21,718.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 14.6% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 776,324 ล้านบาท หดตัวตัว 6.1% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนธันวาคมหดตัว 12.5%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 22,752.7 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 12.0% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 823,082 ล้านบาท หดตัว 3.3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2565 ขาดดุลเท่ากับ 1,033.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 46,758 ล้านบาท
“ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในเดือนมกราคม-ธันวาคมของปี 2565 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าส่งออกรวมเท่ากับ 287,067.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.5% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 9,944,317 ล้านบาท ขยายตัว 16.1% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงมกราคม-ธันวาคมขยายตัว 4.7%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 303,190.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 13.6% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 10,646,953 ล้านบาท ขยายตัว 24.9% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนมกราคม-ธันวาคมของปี 2565 ขาดดุลเท่ากับ 16,122.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 702,636 ล้านบาท” นายชาญชัยระบุ
ทั้งนี้ สรท.คาดการณ์การส่งออกรวมทั้งปี 2566 เติบโตระหว่าง 1-2% (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2566) โดยมีปัจจัยปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปี 2565 ได้แก่ 1) ปริมาณสินค้าคงคลังของคู่ค้ายังคงทรงตัวในระดับสูง ส่งผลให้คู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อสินค้า 2) ต้นทุนการผลิตยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ และจำเป็นต้องส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค (Consumer)
3) สถานการณ์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ส่งออกสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาต่อประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่มีค่าเงินอ่อนกว่าไทย และ 4) ราคาพลังงานในตลาดโลกยังคงมีความผันผวนตามสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญประกอบด้วย 1) ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ขอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนเร็วเกินกว่าประเทศคู่ค้าสำคัญ 2) ด้านต้นทุน 2.1) ขอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ทบทวนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเพิ่มมาตรการช่วยเหลือ SMEs ในซัพพลายเชนการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบดังกล่าวควบคู่กัน 2.2) ขอให้ภาครัฐควบคุมหรือปรับขึ้นค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (FT) ในภาคการผลิตแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงพิจารณามาตรการสนับสนุน เพื่ออุดหนุนการใช้พลังงานทางเลือก เช่น มาตรการทางภาษี ลดหย่อนภาษี ในการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกอื่นทดแทนอาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar), พลังงานหมุนเวียน (Renewable) และพลังงานชีวมวล (Biomass) เป็นต้น 2.3) ขอให้คณะกรรมการไตรภาคีพิจารณาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างรอบคอบ สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่แท้จริงและ 3) ด้านการค้าระหว่างประเทศ เร่งผลักดันกระบวนการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ให้บรรลุผลโดยเร็ว
ที่มา : มติชน