รัฐ-เอกชน ร่วมฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนประเทศไทยท่ามกลางโลกผันผวน
คลัง-ธปท.ตลาดหลักทรัพย์ และเอกชน ร่วมมือฝ่าคลื่นเศรษฐกิจปี 2566 "อาคม" ชี้เศรษฐกิจปีนี้โต 3-4% แต่จะเป็นลักษณะ K-Shaped เศรษฐกิจจะไปต่อได้ต้องเร่งรัดลงทุน แนะส่งออกเจาะตลาดเพื่อนบ้าน ชี้ฐานะการคลังแกร่ง มีช่องให้กู้เงินรับวิกฤติรอบใหม่ ขณะที่ 3 กูรูฟันธงเศรษฐกิจยังฟื้นต่อ ดอกเบี้ยทยอยขึ้น ตลาดทุนสดใส
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (15 ก.พ.) สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้จัดงานสัมมนา Thailand Future Economic Forum 2023 พร้อมพิธีมอบรางวัล CEO Econmass Awards 2022 ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เป็นผู้มอบรางวัลและกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ฝ่าคลื่นเศรษฐกิจ ปี 2566” ว่า เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัว โดยธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องจะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเกินความคาดหมาย ขณะที่ภาคการส่งออกชะลอตัวลงจากเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ภาคส่งออกต้องให้ความสำคัญในการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน การหาตลาดใหม่ๆ รวมถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้ส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยยอดส่งออกที่หายไป
“กระทรวงการคลัง และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในกรอบ 3-4% โดยเศรษฐกิจไทยจะไม่ฟื้นตัวแบบ U-Shaped หรือ V-Shaped แต่จะเป็นลักษณะ K-Shaped ที่เติบโตแบบช้าๆ มั่นคงและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม จะได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมมาตรการไว้รองรับ”
นายอาคม กล่าวต่อว่า ฐานะการคลังยังแข็งแกร่งจากการขยายเพดานเงินกู้ ส่งผลให้ไทยยังมีพื้นที่ทางการคลัง และมีช่องว่างกู้เงินเพิ่มเติมได้ถึง 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ถ้าเกิดวิกฤติและต้องหาเงินช่วยเหลือโดยไม่เสียวินัยทางการคลัง ประกอบกับหนี้ต่างประเทศของไทยมีสัดส่วนน้อยกว่าเงินกู้ในประเทศ ส่งผลให้ฐานะการเงินการคลังของไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ 60.67% ต่อจีดีพี ถือว่าเป็นเกณฑ์ระดับปลอดภัย ด้านนโยบายการเงิน และการคลัง ต้องสอดประสานกัน โดยการดูแลเป้าหมายเงินเฟ้อต้องดูการฟื้นตัวเศรษฐกิจด้วยไม่สร้างต้นทุนให้ธุรกิจมากเกินไป และไม่สร้างต้นทุนให้ครัวเรือน ซึ่งเป็นหนี้สินอยู่แล้ว
“สิ่งที่อยากจะย้ำในปีนี้ คือ ตัวที่จะทำให้เศรษฐกิจไปได้ คือ การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานควรเร่งดำเนินการ เพราะปีที่ผ่านมาอัตราการลงทุนของไทยค่อนข้างช้า ส่งผลกระทบต่อแรงงานไม่สามารถเข้าทำงานได้ นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่ต้องเร่งลงทุน”
เอกชนดึงจีนลงทุนฟื้นเศรษฐกิจ
จากนั้นได้เปิดเวทีสัมมนาในหัวข้อ “มองต่างมุมเศรษฐกิจไทย ปี 2566” โดย 3 กูรู 3 มุมมอง เพื่อมาแลกเปลี่ยนมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ เริ่มจาก นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปี 2566 นี้ว่า จะเริ่มทยอยฟื้นตัว โดยการส่งออกสินค้าจะขยายตัวอย่างน้อย 1-2% ขณะที่ภาคเอกชนและกระทรวงพาณิชย์จะร่วมทำงานเชิงรุกเจาะตลาดการส่งออกสินค้าไทยให้มากขึ้น เช่น ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงการเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศใหม่ๆมากขึ้น
สำหรับแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้จะมาจากภาคการท่องเที่ยว คาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 30 ล้านคน จะทำให้การจ้างงานดีขึ้นด้วย โดยมองว่ารัฐบาลจะต้องมีงบประมาณโปรโมตให้ชาวจีนที่กำลังจะเข้ามาเที่ยวไทยในไตรมาส 2 นี้ ทำให้จะเกิดการจับจ่ายใช้สอยและสร้างรายได้ให้กับประเทศ เกิดการจ้างงานและการลงทุนที่จะต้องเริ่มดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุนทางตรง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็ว และอีกสิ่งสำคัญคือจะช่วยธุรกิจเอสเอ็มอีให้เข้าถึงเงินทุนและมาตรการภาครัฐ และได้หารือกับอธิบดีกรมสรรพากรแล้ว ถ้าตกลงกันได้ที่จะช่วยเอสเอ็มอีในเรื่องภาษี ก็จะมีส่วนช่วยการจ้างงานในภาคเอสเอ็มอี 2-3 ล้านคน
“หอการค้าฯจะร่วมกับภาครัฐจัดเดินสายเจรจากับจีนให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เศรษฐกิจไทยมีมุมมองให้จีนนั้นหลงใหล จีนเริ่มลงทุนในไทยมากขึ้น จนญี่ปุ่นอิจฉาและหลังจากการเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่จะต้องทำงานใกล้ชิดเอกชนมากขึ้น โดยต้องมีแรงจูงใจเรื่องความสะดวกในการทำธุรกิจและการลงทุนเพิ่มเติม”
ธปท.ขึ้นดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป
ด้าน นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะยังชะลอตัว ในแต่ละประเทศจะเติบโตแตกต่างกัน เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอลงจากดอกเบี้ยสหรัฐฯขึ้นมาก ขึ้นเร็ว และยังไม่หยุดขึ้น อาจขึ้นจนถึงกลางปีและยังไม่ลดลงจนถึงสิ้นปีนี้ เศรษฐกิจยุโรปมีปัญหามาจากสงครามรัสเซียกับยูเครน
ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียดีขึ้น โดยเฉพาะไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนเงินเฟ้อของแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน ทำให้เงินเฟ้อยังเป็นปัจจัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่โลกผันผวน การแก้ปัญหาต้องทำอย่างรอบคอบและชั่งน้ำหนัก ทั้งการเจริญเติบโต เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน
“ดอกเบี้ยต่างประเทศขึ้นเร็ว ขึ้นมาก แต่ไทยไม่มีความจำเป็น ที่ผ่านมาดอกเบี้ยไทยต่ำเป็นประวัติการณ์ ตอนนี้กำลังกลับเข้าสู่ระดับปกติเพื่อให้มีพื้นที่ทางนโยบาย หากมีวิกฤติสามารถลดดอกเบี้ยลงได้ ถ้าไม่ทำอะไรเลย ถ้าเกิดผันผวน นโยบายการเงินจะไม่มีช่องว่างให้ทำได้ โดยยังย้ำการปรับดอกเบี้ยนโยบายกลับสู่ปกติค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมีหลายคนบอกว่าขึ้นดอกเบี้ยช้าจะเกิดส่วนต่างดอกเบี้ยกับประเทศอื่น ทำให้เงินไหลออก ซึ่งความจริงในไตรมาส 4 ที่ผ่านมามีเงินไหลเข้าด้วยซ้ำ นักลงทุนไม่ได้มองดอกเบี้ย แต่มองพื้นฐานเศรษฐกิจดูว่าจะเกิดวิกฤติอะไรหรือไม่ เหมือนกับไฟแนนเชียลไทม์ บอกว่าเงินสกุลบาทมีเสถียรภาพ สามารถทนทานต่อวิกฤติการเงิน
ของโลกได้”
“ภากร”แจงจุดแข็งตลาดทุนไทยปี 66
ขณะที่ นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นวิกฤติที่ไม่เคยเจอ ทั้งโควิด-19 และยูเครนกับรัสเซีย หรือสภาพคล่องลดลง รวมถึงดอกเบี้ยสูง มีปัจจัยต่างๆ ทำให้กระทบเศรษฐกิจ ตลาดทุนทั่วโลก โดยในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้มากกว่าปีที่แล้ว และนักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นเห็นได้จากเดือน ม.ค.2566 แค่เดือนเดียวมีเงินไหลเข้ามา 700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตอนนี้เงินบาทแข็งค่า 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับ 38 บาทต่อเหรียญฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในด้านตลาดทุนอุตสาหกรรมที่จะเป็นจุดแข็งของประเทศไทยคือการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยว การลงทุนที่ยั่งยืน และเศรษฐกิจใหม่ สำหรับการสนับสนุนตลาดทุนไทย ตลท.ได้ปรับปรุง 2 เรื่อง คือ ให้ภาคธุรกิจระดมทุนได้ตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก จากเดิมเป็นแค่ขนาดใหญ่กับขนาดกลาง และเริ่มมีกระดานเทรดใหม่ระดมทุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงง่ายมากขึ้น เช่น LiVE Exchange เป็นต้น
“ในปีนี้อยากให้นักลงทุนพิจารณาความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัสเซียยูเครน ความผันผวนราคาน้ำมัน เงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงโควิด-19 เริ่มคลี่คลายนักลงทุนจะต้องติดตามข่าวสารต่างๆอยู่เสมอผลกระทบต่างๆของเศรษฐกิจแต่ละประเทศ แต่ละอุตสาหกรรม และผลกระทบที่จะมีต่อบริษัทจดทะเบียน แต่ละอุตสาหกรรมจะมีความแตกต่างกัน เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสม”
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์