นำร่อง "พืชเศรษฐกิจ" ลุยปั๊มยอดขายคาร์บอนเครดิต

กรมวิชาการเกษตร จับมือกับภาคเอกชน นำร่องจัดทำ Baseline การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพืชเศรษฐกิจหลัก ทั้งอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ไม้ผล (ทุเรียน มะม่วง) ลุยปั๊มยอดขายคาร์บอนเครดิต
 
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะประธานอาเซียนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ASEAN Climate Resilience Network: ASEAN-CRN) เผยว่า จากการประชุม APEC 2022 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำการพัฒนาทางเศรษฐกิจผ่านนโยบาย Bio-Circular-Green Economy (BCG) การลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่เป้าหมาย Net Zero การพัฒนาระบบคาร์บอนเครดิต ภาคการเกษตร ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่
 
กรมวิชาการเกษตร และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ได้ทำ MOU ร่วมกัน ก่อให้เกิดการสนับสนุนทั้งด้านการพัฒนา และผลักดันการจัดการคาร์บอนเครดิต  รวมทั้งเสริมสร้างการตอบสนองต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้อย่างยั่งยืน มีการสร้างการสร้างและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ในพืชเศรษฐกิจสำคัญ
 
ทั้งนี้การพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (T-VER) กรมวิชาการเกษตรได้ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมพัฒนาที่ดิน กรมป่าไม้ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) องค์กรความร่วมมือของประเทศเยอรมนี และสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย
 
นอกจากนี้ได้ดึงบริษัทเอกชนเข้าร่วม ได้แก่ บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด บริษัท ทักษิณปาล์ม (2521) จำกัด บริษัท วรุณา ประเทศไทย จำกัด บริษัท สยาม ควอลิตี้ สตาร์ช จำกัด บริษัท ราชสีมา กรีน สตาร์ช จำกัด บริษัท ไทยอิสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)บริษัท อาร์ดีเกษตรพัฒนา จำกัด บริษัท บูรพา เทคนิคอล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) บริษัท เนทซีโรคาร์บอน จำกัด และ บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด
 
เป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกนำร่องในพืชเป้าหมาย คือ “อ้อย” ในพื้นที่จังหวัด เชียงใหม่ ขอนแก่น นครสวรรค์ สุพรรณบุรี และอุทัยธานีปาล์มน้ำมันในพื้นที่จังหวัด สุราษฎร์ธานี และกระบี่ มันสำปะหลัง ในพื้นที่จังหวัด อุทัยธานี ระยอง ราชบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น กาญจนบุรี ชลบุรี ชัยภูมิ และฉะเชิงเทรายางพารา ในพื้นที่จังหวัด จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี สงขลาไม้ผล (ทุเรียนและมะม่วง)  ในพื้นที่จังหวัด จันทุบรี ศรีสะเกษ สุโขทัย และขอนแก่น
 
นายระพีภัทร์ กล่าวอีกว่า ภายหลังความร่วมมือระหว่างกรมวิชาการเกษตรและภาคเอกชน จะได้รูปแบบวิธีการ หรือแนวทางปฏิบัติในการลดก๊าซเรือนกระจกของพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้ baseline ในพืชแต่ละชนิด มีพื้นที่ที่เข้าสู่โครงการ T-VER เพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิต มีแปลงต้นแบบในการจัดการเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของพืชเศรษฐกิจสำคัญในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ มีแนวทางในการพัฒนา GAP Carbon Credit Plus มีการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมขององค์กร และท้ายที่สุด บุคลากรของกรมวิชาการเกษตร จะได้รับการรับรองเป็นผู้ตรวจประเมิน (VVB)
 
“ผลที่จะได้รับจากความร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรของประเทศจะลดลง และเกษตรกรจะมีคาร์บอนเครดิตจากการดำเนินการเกษตรดีที่เหมาะสม คือ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลง หรือกักเก็บได้ จากการดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกผ่านกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และสามารถนำคาร์บอนเครดิตไปแลกเปลี่ยนหรือซื้อขาย เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่ว่าจะเป็นการนำปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากการดำเนินงานไปรายงาน และนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์กร บุคคล งานบริการ หรือจากการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าว
 
 
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
 

@Admin TVBC

สนใจสมัครสมาชิกหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายเลขานุการฯ
โทร: 02-018-6888 ต่อ 4340
Email: tvbc.secretariat@gmail.com

:)