ส่องเส้นทางทุนค้าปลีกไทย "เซ็นทรัล" ไล่ซื้อกิจการรีเทลเบอร์ 1 ทั่วโลก
กลุ่มเซ็นทรัลแห่งตระกูล "จิราธิวัฒน์ "กว้านซื้อกิจการทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวสำคัญในยุโรป และอาเซียนที่ปักฐาน "เวียดนาม" เป็นบ้านหลังที่สอง เสริมแกร่งอีกครั้งกับบิ๊กดีลซื้อกิจการห้างใหญ่สุด'วินคอม รีเทล'ที่อยู่ระหว่างเจรจา
เส้นทางธุรกิจกว่า 75 ปีของกลุ่มเซ็นทรัลขยายอาณาจักรจากรุ่นสู่รุ่น ภายใต้เรือธง 'ธุรกิจค้าปลีก' ด้วยยุทธศาสตร์สำคัญ ซื้อและควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition) ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศทั่วโลก เป็นแรงส่งสร้างชื่อ 'เซ็นทรัล กรุ๊ป' ทะยานสู่ โกลบอลคอมปะนี เร่งการเติบโตค้าปลีกสัญชาติไทยผงาดผู้นำรีเทลระดับภูมิภาคและระดับโลกในเวลาอันรวดเร็ว มีเครือข่ายมากกว่า 3,700 สาขา ใน 18 ประเทศ 142 เมือง
ล่าสุด มีกระแสข่าวกลุ่มเซ็นทรัล อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อหุ้นในวินคอม รีเทล (Vincom Retail) ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
วินคอม รีเทล เป็นส่วนหนึ่งของ วินกรุ๊ป (Vingroup) บิ๊กคอร์ปแห่งเวียดนาม กำลังพิจารณาขายหุ้นในวินคอม รีเทล ที่ถือครองอยู่เกือบ 60% ซึ่งเปิดกว้างกลุ่มนักลงทุนต่างๆ รวมทั้ง 'เซ็นทรัล'
ปัจจุบัน วินคอม รีเทล มีมูลค่าตลาด 2,800 ล้านดอลลาร์ หรือราว 96,000 ล้านบาท ดังนั้น หากบรรลุข้อตกลงขายหุ้นส่วนใหญ่ในวินคอม รีเทล เกิดขึ้น! จะเป็นการทำธุรกรรมควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของเวียดนามในรอบหลายปีทีเดียว
วินคอม รีเทล มีห้างสรรพสินค้า 83 แห่งในเวียดนาม โดยราคาหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้น 11% ตั้งแต่ต้นปี 2566 ขณะที่ดัชนี VNI ของตลาดหลักทรัพย์เวียดนามปรับตัวขึ้นเพียง 5% นอกจากนี้ เวียดนามมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 8% ในปี 2565 โดยเป็นประเทศที่มีการขยายตัวเร็วที่สุดในเอเชีย
แม้แนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาสแรกนี้ เติบโต 3.32% ต่ำกว่าคาดการณ์ หากแต่ศักยภาพและอนาคตของ 'เวียดนาม' หนึ่งในประเทศที่มีพลวัตทางเศรษฐกิจมากที่สุดในเอเชีย
และแน่นอนว่า 'เวียดนาม' คือฐานลงทุนหลักของเซ็นทรัล กรุ๊ป ที่ทุ่มลงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท! ไม่นับรวมงบซื้อกิจการอีกจำนวนไม่น้อย เส้นทางจากนี้ 'เวียดนาม' เป็นตลาดแห่งอนาคตของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีการลงทุนต่อเนื่อง โดยวางโรดแมป 5 ปีจากนี้ เตรียมเม็ดเงินก้อนใหญ่กว่า 50,000 ล้านบาท ขยายอาณาจักร โดยไม่รวมงบพิเศษสำหรับซื้อกิจการแบบไม่อั้น! เพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำ และสร้างยอดขายนิวไฮแตะ 1.5 แสนล้านภายในปี 2570
ผงาดเครือข่ายห้างต่างประเทศใหญ่สุดในโลก
กลุ่มเซ็นทรัล ก่อตั้งในปี 2490 และบริหารโดยตระกูลจิราธิวัฒน์มากว่า 4 เจเนอเรชั่น เป็นผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกระดับโลก นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท ผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจร้านอาหาร ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 80,000 คน ให้บริการลูกค้าสมาชิก 30 ล้านราย และต้อนรับผู้ใช้งานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กว่า 40 ล้านคนต่อเดือน
กลุ่มเซ็นทรัลดำเนินงานในกว่า 3,700 สาขา บนพื้นที่กว่า 7 ล้านตารางเมตร ใน 18 ประเทศ 142 เมือง
หากย้อนไป 75 ปี หลังจากคุณเตียงและคุณสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ เปิดร้านหนังสือเล็กๆ แห่งแรก วันนี้ กลุ่มเซ็นทรัล ก้าวสู่อีกขั้นของความสำเร็จ สู่การเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักชัวรีระดับโลก มีเครือข่ายห้างสรรพสินค้าในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก! ครอบคลุมถึง 11 ประเทศ 80 เมือง 120 สาขา ปี 2565 มียอดขายกว่า 6.7 พันล้านยูโร หรือ 2.6 แสนล้านบาท
ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล เจนเนอเรชั่นที่ 3 ผู้กุมบังเหียนเคลื่อนอาณาจักรหลายแสนล้าน! กล่าวว่า “การรวมกลุ่มเซลฟริดเจสเข้าสู่คอลเลคชั่นห้างสรรพสินค้าลักชัวรีของกลุ่มเซ็นทรัลนั้น ทำให้บริษัทของเรากลายเป็นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักชัวรีระดับโลกอย่างแท้จริง ด้วยจำนวนของห้างแฟลกชิปหรูในเมืองท่องเที่ยวชั้นนำที่มากที่สุดในโลก พร้อมทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซลักชัวรีระดับแนวหน้า”
นอกจากนี้ ยังเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันโดดเด่นถึง 19 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 1 ศตวรรษ และล้วนตั้งอยู่บนทำเลเด่นใจกลางเมืองสำคัญ ของยุโรป อาทิ ลอนดอน ซูริค โรม โคเปนเฮเกน ดับลิน และ เวียนนา
เส้นทางบิ๊กดีลกว้านซื้อกิจการค้าปลีกในยุโรป
กลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้ริเริ่มการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครสำหรับลูกค้าตั้งแต่เริ่มกิจการ กลุ่มบริษัทเป็นผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในประเทศไทย และเป็นผู้สร้างห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่มีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคหลายแห่ง อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจศูนย์การค้าครบวงจรแห่งแรกของประเทศไทย
"ลักชัวรี เป็น กลยุทธ์ที่สำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล เริ่มจากการเข้าซื้อกิจการห้างรีนาเชนเต ซึ่งสอดคล้องกับจังหวะที่แบรนด์ลักชัวรีของยุโรปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยกระแสของการท่องเที่ยวทั่วโลก ถึงแม้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนในระยะที่ผ่านมา แต่ตลาดลักชัวรีได้แสดงศักยภาพสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความต้องการผู้บริโภคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง"
ก้าวแรกที่กลุ่มเซ็นทรัลได้ริเริ่มดำเนินธุรกิจในยุโรป คือ การเข้าซื้อกิจการห้างหรู 'รีนาเชนเต' ในปี 2554 ปัจจุบันมีจำนวน 9 สาขาทั่วประเทศอิตาลี
ตามด้วยการเข้าซื้อกิจการ 'ห้างอิลลุม' ประเทศเดนมาร์ก ในปี 2556
นอกจากนั้น กลุ่มเซ็นทรัล ยังได้ร่วมทุนกับซิกน่า ในการเข้าซื้อกิจการกลุ่มคาเดเว ที่มีห้างสรรพสินค้า 3 แบรนด์ ได้แก่ คาเดเว โอเบอร์โพลลิงเกอร์ และอัลสเตอร์เฮาส์ ประเทศเยอรมนี ในปี 2558
อีกทั้งยังร่วมกันเข้าซื้อกิจการห้างโกลบุส ที่มี 10 สาขา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2563
และในปี 2565 ได้ร่วมกันซื้อกิจการ 'กลุ่มเซลฟริดเจส' ที่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า 18 แห่ง ได้แก่ เซลฟริดเจส ในอังกฤษ ห้างสรรพสินค้าดีแบนคอร์ฟ ในเนเธอร์แลนด์ และห้างสรรพสินค้า บราวน์ โธมัส และอาร์นอตส์ ในไอร์แลนด์ ด้วยการเข้าซื้อกิจการ รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดลักชัวรี่ และยุโรป กลายเป็นโฟกัสสำคัญของกลุ่มเซ็นทรัล โดยมีทีมบริหารระดับสูงทำงานอยู่ทั่วยุโรป
ฐานที่มั่นเวียดนามดักโอกาสโมเดิร์นเทรด1.94แสนล้าน
ห้วง 5-10 ปีที่ผ่านมา 'เวียดนาม' ยึดตำแหน่งตลาดศักยภาพสูงแห่งภูมิภาคอาเซียน! ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นขุมทรัพย์ของบรรดาธุรกิจต่างชาติระดับโลกพาเหรดเข้าปักหมุดอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้ง 'กลุ่มเซ็นทรัล' ปูทางสร้างอาณาจักรในน่านน้ำใหม่แห่งนี้ตั้งแต่ปี 2555 ยึดพื้นที่เมืองเศรษฐกิจการค้าการลงทุนใหญ่สุด 'โฮจิมินห์' ตั้งศูนย์บัญชาการนำทัพหน้า 'ค้าปลีก' จากเมืองไทยปูพรมสู่ 'ฮานอย' และจังหวัดต่างๆ ทั้งเทียร์ 1, 2, 3 และ 4 โดยใช้ความได้เปรียบของโมเดลหรือแพลตฟอร์มหลากหลายในพอร์ต การพัฒนารูปแบบร้านใหม่ๆ ให้สอดรับพฤติกรรมการบริโภคของชาวเวียดนาม
และยุทธศาสตร์สำคัญ นั่นคือ พันธมิตรค้าปลีกท้องถิ่น ภายใต้ความร่วมมือ ร่วมทุน และซื้อกิจการ ไม่ว่าจะ เหงียนคิม (Nguyen Kim) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ที่สุดในเวียดนามและ ลานชี มาร์ท (Lan Chi)
วันนี้ตลาดค้าปลีกเวียดนามมูลค่า 49.7 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.69 ล้านล้านบาท“โมเดิร์นเทรด”มีสัดส่วนอยู่เพียง 11% ประมาณ 5.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.94 แสนล้านบาทเท่านั้น! แน่นอนว่าโอกาสมหาศาลตามพัฒนาการของแลนด์สเคปค้าปลีกที่กำลังถูกพลิกโฉมหน้า ไม่ต่างจากประเทศ 20-30 ปีก่อนหน้า!
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ฉายศักยภาพของตลาดเวียดนาม 'บ้านหลังที่สอง' ของเซ็นทรัล รีเทล ว่า เวียดนามมีประชากรกว่า 97 ล้านคน มากกว่าไทย อีกทั้งคนวัยหนุ่มสาว ฐานหลักของกำลังซื้อมีสัดส่วนสูงเทียบไทยที่กำลังเดินหน้าเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเกิดต่ำ ที่สำคัญ 'โมเดิร์นเทรด' อยู่ในอัตราต่ำกว่า 15% สามารถขยายตลาดสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อีกมาก
“ยิ่งในอีก 10-15 ปีจากนี้ค้าปลีกถูกพัฒนามากขึ้นจากความเป็นเมือง (Urbanization) ผู้คนมองหาการใช้ชีวิต ประสบการณ์ใหม่ มองหาสินค้าและบริการใหม่ๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากขึ้น”
ความสำคัญของตลาดเวียดนามสะท้อนจากเม็ดเงินมหาศาลทุ่มลงไปแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท! ไม่นับรวมงบซื้อกิจการกว่า 10 ปีของการลงหลักปักฐาน
เป็นแรงส่ง 'เซ็นทรัล รีเทล' ขึ้นทำเนียบผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่สุดในเวียดนาม ในฐานะเบอร์ 1 ไฮเปอร์มาร์เก็ตและเบอร์ 2ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ ในปี 2565 ยอดขายในเวียดนามครองสัดส่วนรายได้ 25% ของยอดขายรวมเซ็นทรัล รีเทล
ขณะที่โรดแมป 5 ปีจากนี้ ทุ่มเม็ดเงินก้อนใหญ่กว่า 50,000 ล้านบาท ต่อยอดความเป็นผู้นำและนิวไฮยอดขายทะลุ 1.5 แสนล้านบาท ภายในปี 2570 โดยไม่รวมงบพิิเศษสำหรับการซื้อกิจการ
เฉพาะปี 2566 นี้ จัดสรรงบกว่า 6,000 ล้านบาท เดินหน้าขยายเครือข่ายสาขาต่อเนื่อง
“เซ็นทรัล รีเทล มีเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแรงทั้งในโฮจิมินห์ ฮานอย เรามีคอนเทนต์ที่เคลียร์ และเป็นผู้นำที่ไม่มีใครตีแตกได้! จากนี้ คือ การมุ่งสู่เป้าหมายเบอร์ 1 ด้านออมนิแชนแนลในกลุ่มฟู้ด และอันดับ 2 ในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ของเวียดนาม"
เร่งปูพรมธุรกิจฟู้ด-นอนฟู้ด
โอลิวิเยร์ แลงเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม กล่าวเสริมว่าปีนี้จีดีพีเวียดนาม คาดเติบโต 6.7% ขยายตัวสูงเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผนวกกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรในเมือง อย่างโฮจิมินห์ มีประชากรกว่า 15 ขณะที่การขยายตัวของโมเดิร์นเทรด และอัตรานักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น เป็นสัญญาณบวกของ เซ็นทรัล รีเทล รุกหนัก! ต่อเนื่องทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของชาวเวียดนามได้อย่างครอบคลุมในระยะใกล้นี้
เริ่มจาก 'กลุ่มฟู้ด' ที่มีเรือธงอย่าง GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ต 38 สาขา ท็อปส์ มาร์เก็ต 10 สาขา Mini go! ซูเปอร์มาร์เก็ต 3 สาขา และลานชี มาร์ท 24 สาขา“กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้”สร้างแลนด์มาร์กศูนย์การค้า GO! รวม 39 สาขา และ 'กลุ่มนอนฟู้ด' ได้แก่ เหงียนคิม ซูเปอร์สปอร์ต คุโบ และโรบินส์
กลยุทธ์เคลื่อนธุรกิจโตมุ่งรีแบรนด์และรีโนเวท GO! ไฮเปอร์มาร์เก็ต 10 สาขา
พร้อมทั้งขยายท็อปส์มาร์เก็ต และ Mini go! เพิ่มขึ้น 8-10 สาขาเสริมแกร่งกลุ่มอาหาร Fresh และ Non-Food เพื่อดึงดูดทราฟฟิกผู้บริโภคใหม่ให้เพิ่มมากขึ้น
สร้างความแข็งแกร่งธุรกิจกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ด้วยการปรับปรุงศูนย์การค้า GO! รวม 10 สาขา ให้มีความทันสมัยมากขึ้น และเตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกในอนาคต
พร้อมยกระดับและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของเหงียนคิม ด้วยการรีโนเวท ร้านเหงียนคิม 10-12 สาขา ขยายร้านเหงียนคิมอีก 3-5 สาขา ทั้งแบบ Standalone และขยายเข้าไปในศูนย์การค้า GO! เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร
อีกหัวใจสำคัญของการเชื่อมต่อผู้บริโภคชาวเวียดนาม นั่นคือ การพัฒนาลอยัลตี้แพลตฟอร์ม รองรับจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการกว่า 66 ล้านคน ที่จะนำต้นแบบแห่งความสำเร็จและความเชี่ยวชาญของ 'The1' เข้ามายกระดับ จับอินไซด์ของลูกค้า เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการที่ตรงใจมัดใจ สร้างความผูกพันเป็นลูกค้าประจำยาวนานหนุนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ในอนาคต ธุรกิจใหม่! ของ “เซ็นทรัล รีเทล” จากเมืองไทยยังคงมุ่งหน้าสู่เวียดนามอย่างต่อเนื่อง
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ