"ทุนจีน" ขอตั้งโรงงานแซงญี่ปุ่น กรอ. งัดโมเดลเจโทรคุม ยันไม่จับผิดพร้อมดูแลเท่าเทียม
นักลงทุนจีนเบอร์1 แซงญี่ปุ่น อธิบดีกรอ.ยันไม่จับผิด ดูแลเท่าเทียม ใช้โมเดลเจโทรคุม แปลกติกาลงทุนไทย ไร้ข้ออ้างทำผิดเหตุไม่รู้ บีโอไอเผยขอลงทุน 3 เดือนพุ่ง 2.5 หมื่นล้าน
นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม(กรอ.) เปิดเผยถึงกรณี นักลงทุนจีนครองแชมป์ลงทุนไทยปี 2565 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีนี้ จากความต้องการย้ายฐานผลิตมาไทยเพื่อกระจายความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก ว่า ปัจจุบันจีนเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้าญี่ปุ่นแล้ว โดยเรื่องนักลงทุนจีนตามนโยบายของกรมโรงงานไม่ได้ดูแลหรือกำกับดูแลมากหรือน้อยเป็นพิเศษ แต่เน้นการกำกับดูแลเท่ากันไม่ว่าจะเป็นสัญชาติไหนก็ตาม
อย่างไรก็ตามสิ่งที่กรมโรงงานจะให้ความสำคัญหลังจากนี้คือ การดูแลยกระดับการลงทุนของนักลงทุนจีน ถือเป็นประเด็นที่ต้องเร่งดำเนินการ เพราะปัจจุบันนักลงทุนเป็นอันดับหนึ่งของไทย เบื้องต้นจะใช้โมเดลของเจโทร หรือ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ที่มีทั่วโลกรวมทั้งกรุงเทพฯ รูปแบบการทำงานของเจโทร คือ การดูแลนักลงทุนญี่ปุ่นผ่านการแปลเอกสารขั้นตอนการขออนุญาต ระเบียบต่างๆ ในการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมของไทย เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้าใจ ปฏิบัติตามขั้นตอนของไทยง่ายขึ้น
“เจโทรจะแปลเอกสารให้เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ดังนั้นกรมโรงงานจึงมีแนวคิดจะไปคุยกับหอการค้าจีนว่าจะทำอย่างไร ให้สามารถสื่อสารกันได้เข้าใจมากขึ้น น่าจะถึงเวลาแล้ว เพราะเมื่อเขาเข้ามาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ เขาอาจจะกระทำผิดโดยที่เขาไม่รู้ ดังนั้น เราต้องใช้เครื่องมือที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ เพราะไม่อยากให้ความไม่รู้เกิดขึ้น ใครที่จงใจเข้ามาทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาทำความเดือดร้อน จะไม่สามารถอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะเรามีเครื่องมือดูแลคุณ”นายจุลพงษ์กล่าว
รายงานข่าวจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แจ้งว่า ในปี 2565 ประเทศจีนเป็นนักลงทุนต่างชาติที่ได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุดเป็นอันดับ 1 จำนวน 158 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 77,381 ล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ และดิจิทัล โดยไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2566) มีโครงการจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 38 โครงการ มูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท
ที่มา : มติชน