"จุรินทร์" เตรียมประกาศนับหนึ่งเอฟทีเอ "ไทย - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์"
สร้างประวัติศาสตร์ "จุรินทร์" เตรียมประกาศนับหนึ่ง FTA ไทย - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 9 พ.ค. นี้ สร้างแต้มต่อการค้าไทย ไล่กวด!เวียดนาม
วันที่ 18 เมษายน 2566 เวลา 9.30 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ประเด็นความคืบหน้าการทำ FTA ระหว่างไทย กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่บริเวณหน้าตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนเพิ่งเดินทางไปสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี)ตั้งใจไปเจรจาทำ FTA ระหว่างไทยกับยูเออี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา หลังจากนั้น ภายใน 3 เดือนไทย และยูเออีสามารถตกลงกันได้ว่าจะมีการประกาศนับหนึ่งการเจรจายกร่าง FTA ระหว่างกันอย่างเป็นทางการ โดยได้นัดหมายกับรัฐมนตรีที่มีหน้าที่โดยตรงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อประกาศเจรจาในวันที่ 9 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ ช่วงเที่ยง ถือว่าเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่งที่เราสามารถทำ FTA กับยูเออีได้ภายในเวลา 3 เดือนหลังจากตนเดินทางไปเจรจา จะมีผลช่วยให้ได้แต้มต่อในการส่งสินค้าไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ถ้าเราได้ภาษีเป็นศูนย์ในการส่งไปยูเออีหรือดูไบ จะได้สิทธิกับกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council หรือ GCC ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และบาห์เรน) ไปด้วย ปัจจุบันมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับยูเออีตกปีละ 700,000 ล้านบาท และการค้าไทยกับยูเออีคิดเป็น 3.5% ของการค้าที่ไทยค้ากับโลก จะเป็นอีกก้าวสำคัญเป็นผลการทำงานหนักระหว่างตนกับเอกชนร่วมกันในช่วงปลายรัฐบาล มีผลสัมฤทธิ์ช่วยให้ปริมาณ FTA ที่เราทำตามหลังเวียดนามอีกนิดเดียว ก่อนหน้านี้เรามี FTA 14 ฉบับ 18 ประเทศ แต่หลังตนประกาศทำ FTA กับสหภาพยุโรป หรือ อียู 27 ประเทศ ทำให้บวกจาก 18 ประเทศ เป็น 45 ประเทศ และได้เป็น 46 ไล่หลังเวียดนาม จะมีส่วนช่วยสำหรับการสร้างอนาคต และสร้างเงินให้ประเทศอย่างยิ่งต่อไป
“หลังจากนับหนึ่ง FTA ไทย-ยูเออี วันที่ 9 พฤษภาคม จะลงลึกรายละเอียดในข้อตกลงว่าจะมีกี่ข้ออย่างไร ถือว่านับหนึ่งอย่างเป็นทางการระหว่าง 2 ประเทศเพราะยูเออีถือเป็นประเทศที่มีจีดีพีเกือบสูงที่สุดในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เราเดินมาถูกทางแล้วจะเป็นประตูไปสู่ตะวันออกกลางให้กับประเทศไทย” นายจุรินทร์ กล่าว
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ