นักธุรกิจอาหาร ผวาขั้วใหม่ รื้อนโยบายการเกษตร ชู 3 เรื่องร้อน 100 วันแรก จี้รบ.ใหม่เร่งแก้ไข
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคเอกชนี้เป็นห่วงนโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่จะนำมาใช้บริหารปกครองประเทศต่อไปจากที่ได้หาเสียงไว้ โดยเฉพาะภาคเกษตรและอาหาร ยังไม่เห็นนโยบายที่ออกมาชัดเจน
ทั้งที่จำนวนแรงงานภาคเกษตรและอาหารของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมมาถึง 40 ล้านคน และสร้างมูลค่าต่อระบบเศรษฐกิจจากส่งออก 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี และ
บริโภคในประเทศอีกกว่า 1.5 ล้านล้านบาทต่อปี โดยในปีนี้ ความต้องการบริโภคภาคเกษตรและอาหารในประเทศจะขยายตัวได้มากเกิน 10%เนื่องจากเปิดประเทศแล้วและมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยต่อเนื่อง
สำหรับ สถานการณ์ภาคเกษตรและอาหารในไทยขณะนี้ คือแบกรับภาระคาใช้จ่ายและต้นทุนแพงขึ้นทุกด้าน แต่ไม่อาจปรับราคาจำหน่ายได้ใกล้เคียงกับต้นทุนที่แพงขึ้น ภาคส่งออกยังเจอปัญหาค่าเงินบาทแกว่งและผันผวนสูงผู้ค้ายังแบกภาระสต๊อกก่อนหน้านี้ในอัตราส่งกว่าจะคลี่คลายนาจะหลังเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และทิศทางค่าแรงสูงจากที่ได้พรรคการเมืองหาเสียงไว้
ขณะที่ต้นทุนพื้นฐานยังไม่ได้ลดลง ทั้งนี้ 3 เรื่องที่ภาคเอกชนมองว่าเป็นปัญหาหนัก โดยเฉพาะกับกลุ่มเกษตรและอาหาร คือ 1. ภัยแล้งหรือน้ำฝนทิ้งช่วงหรือ
น้อยกว่าปกติ ซึ่งประเมินแล้วว่ากำลังเข้าเอลนีโญ ที่อาจเกิดแล้งรุนแรงต่อเนื่อง 3 ปี 2. ปัญหาขาดูแคลน หรือผลผลิตเพื่อการแปรรูปอาหารไม่เพียงพอจากภาวะอากาศ
ปั่นป่วน แย่งชิงสต๊อก มีผลต่อร่าคาวัตถุดิบและสินค้าแพงขึ้นไปอีก 3. ค่าเงินบาทผันผวนเร็ว กระทบต่อการวางแผนและการค้าปกติ ที่ผ่านมาเจอค่าบาทจากอ่อนค่า จาก 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 32-33บาท
“เรื่องนี้ค่าบาท เป็นเรื่องหนักอีกเรื่อง ก็อยากให้ธปท.และรัฐบาลใหม่ดูแลมากขึ้น ลดความผันผวนค่าเงิน บวกกับผลกระทบจาก ค่าแรงที่จะเพิ่มขึ้น ผนวกกับต้นทุนแพงสะสมมาก่อนหน้านี้ เหล่านี้รัฐบาลใหม่จะเอาอย่างไร ทุกอย่างจึงต้องดูหลังจากรัฐบาลใหม่ตั้ง และการประกาศแผนการทำงาน 3 เดือนหรือ 100 วันแรกที่ทุกธุรกิจหวังเรื่องลดต้นทุน ลดอุปสรรคที่มีอยู่ และสร้างความสามารถแข่งขันได้อย่างไร เราคงมีการนำข้อเสนอไปให้รัฐบาลใหม่ แต่ขอดูก่อนว่าเป็นใครและประกาศแผนการทำงานอย่างไร ”