"ไฟฟ้าดับเวียดนาม" เอกชนไทยชี้ไม่กระทบนักลงทุนไทย ชี้ทุกนิคมอุตสาหกรรมมีไฟสำรอง เชื่อการจำกัดเปิดไฟฟ้าของเวียดนามแค่ระยะสั้นและกระทบเฉพาะประชาชนในเวียดนามเท่านั้น

 

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย  เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงกรณีที่เวียดนามก็เริ่มวางแผนเวียนดับไฟฟ้าทั่วประเทศ รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจในเมืองฮานอยและโฮจิมินห์ตั้งแต่วันนี้จนถึง 25 พ.ค.66 บางพื้นที่อาจต้องดับไฟนานถึง 7 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากสภาพอากาศร้อนจัด นั้นเนื่องจากว่าเวียดนามใช้พลังงานคือพลังงานถ่านหินกับพลังงานน้ำ

 

ในขณะที่พลังงานน้ำเนื่องจากช่วงปีนี้เวียดนามประสบปัญหาภัยแล้วทำให้การทำพลังงานน้ำมันปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าจึงมีกำลังลดลง และไม่ทันกับความต้องการใช้ของประชาชนในช่วงฤดูร้อนที่มีการใช้พลังงานค่อนข้างสูง ในขณะที่พลังงานจากถ่านหินเองก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับการนำเข้าถ่านหินที่จากอินโดนีเซียที่ล่าช้ายิ่งส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าไม่เพียงพอ แต่ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น

 

ส่วนภาคอุตสาหกรรมหรือในนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาน ยังไม่ได้รับผลกระทบเพราะภายในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมมีพลังงานสำรองอยู่แล้ว ซึ่งๆไม่กระทบกับการใช้ไฟฟ้าและไม่กระทบกับนักลงทุนไทย

 

ทั้งนี้ ทั้งนี้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงฮานอย รายงานว่า ภาคการผลิตของเวียดนามยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (IIP) ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 7.69% โดยอุตสาหกรรมการแปรรูปและการผลิตเพิ่มขึ้น 8.1% การผลิตและการจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น7.05% การจัดการและบำบัดน้ำเสียเพิ่มขึ้น 7.45% และอุตสาหกรรมเหมืองแร่เพิ่มขึ้น 5.19%

 

ทั้งนี้สินค้าส่งออกที่สำคัญ ของเวียดนาม ประด้วย รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ / เม็ด พลาสติก / เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ / เคมีภัณฑ์ / น้ำมันสำเร็จรูป / อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด / เครื่องดื่ม/ ผลิตภัณฑ์ยาง / น้ำตาลทราย  ส่วน สินค้านำเข้าสำคัญของเวียดนาม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน/ น้ำมันดิบ

เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ / เคมีภัณฑ์/ เหล็ก เหล็กกล้าและ ผลิตภัณฑ์/ แผงวงจรไฟฟ้า / ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ /ผัก ผลไม้และของ ปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้

 

ส่วนตลาดส่งออกที่สำคัญ ของเวียดนาม ประกอบด้วย สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป อาเซียน ญี่ปุ่น และตลาดนำเข้าสำคัญของเวียดนามคือจีนเกาหลีใต้ อาเซียน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป สหรัฐฯ

 

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ