หอการค้ายุโรปชี้ บริษัทต่างชาติแห่ทิ้งจีน ย้ายการลงทุน เหตุเชื่อมั่นลด
สภาหอการค้ายุโรปในจีนระบุว่า บริษัทต่างชาติกำลังย้ายการลงทุนและย้ายสำนักงานใหญ่ในเอเชียออกจากประเทศจีน เนื่องจากความเชื่อมั่นลดลงหลังการเพิ่มขึ้นของกฎหมายต่อต้านการสอดแนม รวมถึงความท้าทายอื่นๆ
รายงานของสภาหอการค้ายุโรปในจีนชี้ว่า ปรากฎการณ์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในหลายสัญญานของการมองโลกในแง่ร้ายที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะพยายามฟื้นความสนใจต่อเศรษฐกิจของประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก หลังยุติมาตรการคุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19
หอการคายุโรประบุว่า บริษัทต่างๆ ไม่สบายใจเกี่ยวกับการควบคุมด้านความมั่นคง การปกป้องของรัฐบาลจีนต่อรัฐบาลคู่แข่ง และการขาดการปฏิรูปตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ นอกจากนี้พวกเขายังถูกบีบจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของจีน และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
เยนส์ เอสเคลันด์ ประธานหอการค้ายุโรป กล่าวว่า ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจนั้นค่อนข้างต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่มีใครคาดหวังว่าสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบจะดีขึ้นจริงๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
บริษัท 2 ใน 3 จากบริษัท 570 แห่งที่ร่วมตอบแบบสำรวจของสภาหอการค้ายุโรประบุว่า การทำธุรกิจในจีนกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไม่ถึงครึ่งหนึ่งก่อนเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ ขณะที่ 3 ใน 5 บอกว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจมีความเป็นการเมืองมากขึ้น เพิ่มขึ้นจาก 1 ใน 2 เมื่อปีที่ผ่านมา
ผลสำรวจของสภาหอการค้ายุโรปชี้ด้วยว่า บริษัท 1 ใน 10 บอกว่า พวกเขาได้ย้ายการลงทุนออกจากจีน ขณะที่ 1 ใน 5 กำลังชะลอหรือพิจารณาที่จะเคลื่อนย้ายการลงทุน ในอุตสาหกรรมด้านการบินและอวกาศ บริษัท 1 ใน 5 มีแผนที่จะไม่ลงทุนในตลาดจีนในอนาคต
สภาหอการค้ายุโรปยังบอกด้วยว่า ไม่ได้มีเพียงบริษัทต่างชาติเท่านั้นที่ย้ายฐานการลงทุนออกจากจีน ผลการสำรวจยังชี้ว่า 2 ใน 5 ของลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ชาวจีน ก็กำลังย้ายฐานการลงทุนออกนอกประเทศเช่นเดียวกัน
เอสเคลันด์ระบุว่า ข้อห่วงกังวลที่ใหญ่ที่สุดคือการขยายขอบเขตของคำจำกัดด้านความมั่นคงของชาติให้กว้างขวางออกไป จนครอบคลุมถึงเรื่องเศรษฐกิจ อาหาร พลังงาน และการเมือง ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าขอบเขตที่เราสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติอยู่ที่ใด
ผลสำรวจของสภาหอการค้ายุโรปชี้ว่า จุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ สำหรับบริษัทที่ย้ายสำนักงานใหญ่ในเอเชียออกจากจีนคือสิงคโปร์ที่ครองสัดส่วนสูงถึง 43% ตามด้วยมาเลเซีย และมีเพียง 9% ที่ระบุว่าพวกเขาจะไปหรือวางแผนที่จะย้ายไปอยู่ในฮ่องกง
ที่มา : มติชน