บทความพิเศษ : ทัวร์ศูนย์เหรียญ : การจะยกเว้นวีซ่าแก่จีนที่ไม่คุ้มค่า

คนทั้งหลายล้วนทราบว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ หมายถึง บุคคลสัญชาติจีนเดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ รวมทั้งไทย ได้ชำระค่าเครื่องบินไป-กลับ การเดินทางภายในประเทศ รถเช่า ทัวร์ ไกด์ อาหาร ค่าที่พักค่าเข้าชมสถานที่ วัดวาอาราม รายจ่ายเบ็ดเตล็ด ไว้ทั้งสิ้นตั้งแต่ออกเดินทาง นัยหนึ่ง ปลอดภัย จะได้ไม่ต้องพกเงินไปด้วยมากมาย คือ เป็น ค่าใช้จ่ายเป็น “ศูนย์” ทุกอย่างชำระไว้แล้ว นี่คือสภาวการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวจีน ตั้งแต่ยุคก่อนโควิด-19 ที่มีชาวจีนไปทั่วโลกมาไทยร่วม 11 ล้านคนจากทั้งหมด 41 ล้านคน
 
แต่ภาพคนจีนหนาแน่น ณ ที่ต่างๆ หายไปช่วงโรคระบาด ทุกประเทศปิดประเทศ ห้ามเข้า-ออก กระทั่งคนหัวดีไปคิดค้นวีซ่าพิเศษ ประเภท STV เพื่อให้นักธุรกิจระดับบน มีฐานะร่ำรวย โดยสารโดยเครื่องบินส่วนตัว เข้าไทย มาทำธุรกิจเร่งด่วน แท้จริงแล้วเป็นเพราะพวกนายหน้าจีนล็อบบี้ เอาพวกคนจีนอาชีพที่น่าสงสัย ผิดประเภท คือประเภทสีเทาที่ต้องการเข้ามาดูโรงงาน ทำธุรกรรมทางการเงินก็ต้องดิ้นหาช่องทางเข้าไทย ใครที่เป็นนักการทูตในยุโรปช่วงนั้นอาจไม่เคยได้ยินวีซ่าประเภทนี้ในสารบบการตรวจลงตรามาก่อน
 
ทันใดนั้น เมื่อบัดนี้มีความเคลื่อนไหวตั้งรัฐบาลในไทยชุดใหม่ ก็มีการกล่าวกับภาคธุรกิจและสื่อมวลชนถึงดำริของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ว่า“เรื่องฟรีวีซ่าจีน ตนเองหมายถึง ไม่ต้องขอวีซ่า เพราะฉะนั้นถ้าไม่ต้องขอวีซ่าในการเข้าประเทศก็ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า ซึ่งเป็นความประสงค์ที่เราได้พูดคุยกันมาโดยตลอด” โดยตั้งใจที่จะยกเว้นวีซ่าแก่คนจีนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นวันชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน คาดหมายว่า การตัดสินใจนี้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 จะต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนทั้งสิ้นถึง 5 ล้านคนตามเป้าหมายในปีนี้ นักธุรกิจใหญ่ของไทยบางคนขานรับ สนับสนุนให้ยกเว้นวีซ่าไปเลย โดยกล่าวว่าไทยมีปัญหาในการอำนวยความสะดวกเรื่องการทำวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจีน คำร้องขอวีซ่าไทยกรอกข้อมูลมาก ทำให้ไม่สะดวก ไม่เอื้อต่อการตัดสินใจเข้ามาเที่ยว ต้องลดขั้นตอน อันที่จริง คำร้องขอวีซ่าของสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกมีรายละเอียดมากมายกว่านี้
 
เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนได้นำเสนอข้อสังเกตเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจธุรกิจในจีน โดยเฉพาะปัญหาหนี้เสีย หนี้ท่วมในภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืด การส่งออกลด การบริโภคภายในและการลงทุนลดลง การเติบโตของจีดีพีต่ำกว่าคาด เหล่านี้ไม่ส่งผลที่ดีให้ประชาชนชนชั้นกลางขึ้นไปสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวจำนวนมากๆ และนานๆ เหมือนอดีต ดังนั้นแม้ว่าประเทศไทยยกเว้นวีซ่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเพียงไร ก็ไม่เพียงพอที่จะมีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนสูงๆ ดังที่ตั้งใจ จึงถือว่าวางแผนผิด เกาไม่ถูกที่คัน
 
จนถึงขณะนี้ นักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนเพียง2 ล้านคน ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของ 5 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขจนถึงสิ้นปี หากจะหวังผลจากมาตรการยกเว้นวีซ่าก็น่าจะมีผลให้คนจีนเข้าประเทศอีกสัก 700,000 คน ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่คุ้มเสีย รายได้จากค่าธรรมเนียมหนึ่งพันบาท/คน หายไป เข้ามามิได้สร้างรายได้แก่คนไทยแต่อย่างใด เพราะชำระค่าใช้จ่ายมาแล้ว การถูกหลอกลวงให้ซื้อของปลอมพระปลอม ก็โดยพวกเดียวทำกันเอง หรือปัญหาอาชญากรรมลักพา เรียกค่าไถ่ หรือทำร้ายทรมานก็โดยพวกเดียวกันจากจีนแผ่นดินใหญ่ การลักลอบพำนักอาศัยเป็นอันตรายต่อความมั่นคง
 
แต่แท้จริงแล้ว พวกที่คร่ำหวอดในวงการกงสุลการท่องเที่ยวจะรู้ตื้นลึกหนาบางของการ “ฉ้อฉลจากการไม่เก็บวีซ่าก็ดี หรือค่าธรรมเนียมก็ดี” จากผู้ร้องขอวีซ่าชาวจีนได้ กล่าวคือ พวกนายหน้าทำเอกสารเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนอยู่แล้ว โดยมีรายการสารพัด ค่าทำหนังสือเดินทาง วีซ่าออกนอกประเทศ หรือ เอ็กซิทวีซ่าจากทางการจีน ค่าทำวีซ่าเข้าไทย 1,000 บาท ก็ยังมีอยู่ ค่าขออนุญาต ค่าจัดหาไกด์ ค่าเข้า-ออกสถานที่ เป็นต้น ดังนั้น พวกนายหน้าทำเอกสารทัวร์จะได้รับส่วนต่างไปทันที 1,000 บาท แม้ว่ารัฐบาลไทยจะยกเว้นวีซ่าแก่คนจีนจำนวนนับล้านๆ คนไปแล้วก็ตาม บรรดานักท่องเที่ยวจีนไม่สามารถร้องเรียนกับผู้ใดได้ ก็ยังแปลกใจที่รัฐบาลใหม่ในไทย หลับหูหลับตาบอกใครๆ ว่า ไม่รู้ไม่เห็นด้วยกับการหากินวิธีนี้ เป็นแผ่นเสียงตกร่อง วิญญูชนที่คุ้นเคยกับการสั่งการของรัฐบาลในอดีต ที่สั่งให้ออกวีซ่า แต่แบบยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมท่องเที่ยวแก่คนจีนที่แผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ เป็นระยะๆ ทุก 3 เดือนในบางปี ช่วงเทศกาลท่องเที่ยว เป็นต้น ล้วนรู้ดี พวกหน่วยงานบางแห่งนกรู้ อาจหาช่องทางอำนวยความสะดวกแบบที่ตนดูแล โดยเพิ่มค่าธรรมเนียม การขอวีซ่าเมื่อถึงสนามบิน/ช่องทางอนุญาต หรือ visa on arrival (voa) ได้เลย ในเมื่อคนแห่ไปขอ “วีซ่าท่องเที่ยวแบบไม่คิดค่าธรรมเนียม” ที่สถานทูตสถานกงสุลไทยในจีนจำนวนแสนๆ ล้านๆ แล้วติดขัด ค่าทำเอกสารแบบแอบแฝงเหล่านี้ ไม่ทราบว่ารัฐบาลไทยรับทราบหรือไม่ หรือรู้แล้วแต่จะทำต่อ เพราะเงินมหาศาลมันบังตา
 
ทุกวันนี้ ไทยมีผู้เดินทางเข้าเมือง ทั้งถูกต้องและผิดกฎหมาย รวมทั้งแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านนับหลายล้านคน ไม่มั่นใจว่าหน่วยราชการตรวจคนเข้าเมืองและตำรวจมีกลไกและความสามารถเพียงพอที่จะตรวจสอบและควบคุมได้อย่างเป็นระบบไหม สามารถให้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินได้จริงหรือไม่(เพราะเหตุการณ์ทำร้ายถึงแก่ชีวิตนายตำรวจนายหนึ่งท่ามกลางเพื่อนนายตำรวจ 25 คนที่งานเลี้ยงผู้มีอิทธิพลจังหวัดนครปฐมก็สร้างการหยุดชะงักไปทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียแล้ว เพราะดูไม่มีใครรับผิดชอบ สะท้อนวิกฤตตำรวจไทย) อีกทั้งการจะอนุญาตให้คนจีนเข้าเมืองอย่างเสรี ขอถามว่า ทางการไทยจะสามารถลงทะเบียนการเข้าออกและตรวจตราการพำนักอาศัยได้จริงหรือไม่และนานเท่าใด
 
อันที่จริง คนที่มีประสบการณ์กล่าวว่า คนจีนเดินทางไปทั่วโลก มีวีซ่า ไม่มีวีซ่า ถูกแพงอย่างไรไปได้ทั้งนั้น ซื้อทุกอย่างทั้งนั้น ยิ่งในสหรัฐฯ ยุโรปเข้มงวดกวดขันเพียงไรก็ไปกันได้ ไม่เกี่ยงงอนค่าธรรมเนียมไม่ต้องไปเอาใจนัก ดังนั้น จึงต้องออกวีซ่าอนุมัติให้เข้าไทย ไทยจะได้ค่าธรรมเนียมเป็นรายได้แผ่นดิน อีกทั้งควบคุมลงทะเบียนตรวจตราความเป็นอยู่ได้
 
ในเมืองไทย เป็นที่แน่ชัดว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ส่งผลดีให้สร้างอาชีพและรายได้จริงจังแก่เศรษฐกิจไทยยกเว้นเสียแต่ว่าคาดหมายให้อพยพย้ายถิ่นมาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ซื้ออาคารบ้านเรือนในไทยซึ่งมีมากมาย ดังนั้น การยกเว้นวีซ่าแก่คนจีนจึงมิใช่วิธีการที่ดีที่มุ่งไปส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยแท้จริงแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม ข้อริเริ่มนี้สวนกระแสกับอีกความต้องการหนึ่งโดยแท้ นั่นคือ ร่างนโยบายในข้อหนึ่งที่ต้องการยกระดับพาสปอร์ตไทยให้เดินทางไปต่างประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่าให้ยุ่งยากลำบากลำบนที่ตั้งใจไว้ ซึ่งต้องมาจากการยอมรับของต่างประเทศต่อสถานะและหน้าตา ความสามารถในการผลิตภายในประเทศ ปัจจัยบวกทั้งหลาย ซึ่งทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจความน่าเชื่อถือ กล่าวคือ ไทยต้องเดินหน้าให้ถูกทิศทางและมีศักดิ์ศรี ต้องเคารพตนเองก่อนที่ผู้อื่นจะเคารพเรา ซึ่งมิใช่มาจากการยกเว้นวีซ่าฝ่ายเดียวแก่จีน ซึ่งมีประชากรมากถึง 1,400 ล้านคน โดยที่จีนก็มิได้ประกาศยกเว้นใดแก่ไทยเป็นการตอบแทนแต่อย่างใด และหากตอบแทน ใครจะไปมากนัก
 
สิ่งที่ควรทำจริงๆ ในช่วงสงบๆ เช่นนี้ ปราศจากไหลบ่าของนักท่องเที่ยวจีน ควรที่รัฐบาลจะมาทบทวนลำดับก่อนหลัง ปรับปรุงการแสวงหาตลาดการท่องเที่ยวแห่งใหม่ ทรัพยากรภายใน วิธีการจัดการ การให้บริการท่องเที่ยวหลังจากการละเลยมานาน การปรับปรุงค่าธรรมเนียมวีซ่าให้สอดคล้องกับอัตราปัจจุบัน กลไกการให้บริการวีซ่าในต่างประเทศ ยกเลิกวิธีการโปรโมทท่องเที่ยวแบบโบราณที่เสนอไม่ต้องมีวีซ่า เช่น ผ. 30 ที่ให้แก่บรรดาประเทศตะวันตก เริ่มต้นเมื่อสัก 40 ปีที่แล้ว ตัดทอนช่องทางหน่วยงานหาประโยชน์ และยกเลิกความตกลงยกเว้นวีซ่ากับประเทศที่เรามิได้มีคนสัญชาติไทยเดินทางไปเลยหรือหากไปก็น้อยมาก นำเงินที่ได้ไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว บุคลากร การพัฒนาแผนที่เกี่ยวข้อง ให้รองรับการพัฒนายุทธศาสตร์การท่องเที่ยวและการประชุมระหว่างประเทศ และการจัดกิจกรรมสำคัญๆ ที่จะนำเม็ดเงินและสร้างศักดิ์ศรีแก่ประเทศไทยอย่างแท้จริง มิใช่ไปทุ่มเทกายใจกับการ “ต้อนรับปริมาณมากกว่าคุณภาพ” และตลาดดั้งเดิมที่หมดเวลาไปแล้ว ทั้งนี้ เพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงแก่เศรษฐกิจและลังคมไทยอย่างแท้จริง
 
(ณ วันที่ 10 กันยายน 2566)
 
คมกริช วรคามิน : นักการทูต ผู้ประพันธ์หนังสือ “เหลียวหลัง แลหน้า : การต่างประเทศของไทยและเวียดนาม” (2566)
 
คมกริช วรคามิน
ที่มา : แนวหน้า
 

@Admin TVBC

สนใจสมัครสมาชิกหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายเลขานุการฯ
โทร: 02-018-6888 ต่อ 4340
Email: tvbc.secretariat@gmail.com

:)