ไทยร่วมเวทีถกอัพเกรด FTA อาเซียน-จีน ครั้งที่ 4 เร่งเครื่องปิดดีลปี 67
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ไทยเตรียมเข้าร่วมการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน หรือ ACFTA ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคมนี้ ณ เมืองบันดุง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยการเจรจาครั้งนี้ จะประกอบด้วย การประชุมของคณะกรรมการเจรจาการค้า (Trade Negotiating Committee) ซึ่งกำกับดูแลและติดตามการเจรจาในภาพรวม และการเจรจาของคณะทำงานย่อย 5 คณะ ได้แก่ การค้าสินค้า การลงทุน เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจดิจิทัล และสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช พร้อมทั้งรายงานผลความคืบหน้าจากคณะทำงานย่อยอื่นๆ ที่ได้หารือในช่วงเดือน ส.ค.-ต.ค. ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการประชุมรอบที่ 4 อาทิ กฎระเบียบทางเทคนิคและกระบวนการตรวจสอบและรับรอง พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า การแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภค วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย กฎหมายและสถาบัน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ
“การเจรจาในรอบนี้ ไทยในฐานะประธานร่วมฝ่ายอาเซียน จะผลักดันให้มีความคืบหน้ามากที่สุด เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาภายในปี 2567 โดยการปรับปรุงความตกลง ACFTA ให้มีความทันสมัย และสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทย สามารถขยายมูลค่าการค้าและการลงทุน รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างอาเซียนกับจีนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นางอรมนกล่าว
ทั้งนี้ จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของอาเซียนมาตั้งแต่ปี 2552 โดยในปี 2565 การค้าระหว่างอาเซียนกับจีน มีมูลค่า 715,156.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 6.70% จากปีก่อนหน้า โดยอาเซียนส่งออกไปจีนมูลค่า 288,920.05 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาเซียนนำเข้าจากจีน มูลค่า 426,235.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับในปี 2565 การค้าระหว่างไทยกับจีน มีมูลค่า 105,404.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 1.53% จากปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปจีน มูลค่า 34,389.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยนำเข้าจากจีน มูลค่า 71,014.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ ผลไม้สด ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเคมีภัณฑ์ และสินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์
ที่มา : มติชนออนไลน์