บทความพิเศษ : ซินจ่าวจากฮานอย

เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนได้รับความเอื้อเฟื้อจากท่านเอกอัครราชทูตธานี แสงรัตน์ เชื้อเชิญไปร่วมงานวันชาติที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย จัดขึ้นที่โรงแรมมีเลีย กรุงฮานอย ตามที่สอบถามไปทำให้มีโอกาสไปกระทบไหล่ผู้บริหารและนักการทูตชาวเวียดนาม คณะทูตานุทูต สมาคมนักธุรกิจไทยและชุมชนไทยในเวียดนาม พบทั้งเพื่อนเก่าๆ มิตรใหม่ๆ ได้เห็นและชื่นชมการจัดงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และรัชกาลปัจจุบันอย่างสมพระเกียรติ นับเป็นความภูมิใจในฐานะนักการทูตเก่าในเวียดนาม
 
หากไม่ไป เราอาจจะไม่รู้เห็นด้วยตนเองว่า เวียดนามเปลี่ยนแปลงไปมากหรือเรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงทุกวันทีเดียว
 
ขณะนี้ เวียดนามเข้ารับหน้าที่ประธานอาเซียน เป็นครั้งที่ 3(หลังจากสองครั้งแรกเมื่อปี 2541 และ 2553) ภาพนายเหวียน ซวน ฟุก นายกรัฐมนตรีเวียดนาม รับค้อนประธานการประชุมจากมือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 ที่กรุงเทพฯแสดงถึงความกระตือรือร้นที่จะทำหน้าที่ประธานการประชุมอาเซียน ซึ่งจะมีมากถึงประมาณ 300 การประชุมตลอดปี 2563 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชุมสุดยอดอาเซียนในเดือนเมษายนและพฤศจิกายน
 
เวียดนามได้เปิดเผยโดยทันทีที่รับตำแหน่งต่อจากไทยว่า หัวข้อหลักอย่างเป็นทางการสมัยการเป็นประธานของตนสองประการ คือ 
 
1.“การเชื่อมโยงเกาะกัน” คือส่งเสริมความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การบูรณาการทางเศรษฐกิจ การตระหนักถึงความเป็นกลุ่มก้อน อัตลักษณ์ และการทำงานเพื่อประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และ 
2.“การตอบสนอง” คือ ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการเข้าปฏิบัติ การสร้างสรรค์และความสามารถที่จะตอบสนองต่อโอกาสและสิ่งท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในภูมิภาคและโลก
 
ทางด้านนาย เหวียน ก๊วก สุง รัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศของเวียดนามในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติเวียดนาม ปี 2563 กล่าวคือ แม่งานการจัดประชุมอาเซียนสมัยที่เวียดนามเป็นประธาน ได้ให้ข้อมูลว่า เวียดนามจัดลำดับเป้าหมายสำคัญ 5 ประการในปีแห่งการเป็นประธาน ว่า ประกอบด้วย 
 
1.เสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน, 
2.พัฒนาการบูรณาการทางเศรษฐกิจและความเชื่อมโยง ให้ปรับตัวเศรษฐกิจและประชาชนต่อการเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัตจากอุตสาหกรรม 4.0 และเศรษฐกิจแบบดิจิทัล, 
3.การเพิ่มพูนความเป็นอัตลักษณ์และตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในหมู่ประชาชน, 
4.การส่งเสริมการมีบทบาทความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของโลก, และ 
5.เพิ่มพูนพละกำลังและประสิทธิภาพของอาเซียน
 
ปีใหม่ 2563 น่าจะได้รับแรงส่งที่ดีจากปีกลาย ซึ่งน่าจะเป็นปีแห่งความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบการตลาดทุนนิยมอีกปีหนึ่งของเวียดนาม โดยรวม การเติบโตของจีดีพีคาดว่าน่าจะอยู่ประมาณร้อยละ 6.98 ทางด้านนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและธุรกิจของประเทศน่าจะมีอัตราการเติบโตสูงมากถึงร้อยละ 8.32 เพราะในปี 2563 ตั้งใจพุ่งเป้าการเติบโตระดับภูมิภาคไว้สูงถึงร้อยละ 8.5 โดยมีการจดทะเบียนบริษัทเอกชนใหม่อีก 44,000 แห่ง และการจ้างงานในอีก 135,000 ตำแหน่ง ทางด้านการค้าต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีเวียดนามเปิดเผยในรายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเวียดนามเมื่อเดือนพฤศจิกายน ว่า มูลค่าการค้าประเทศปี 2562 มีประมาณการว่าอยู่ในวงเงิน 500 พันล้านเหรียญอเมริกา โดยเกินดุล 9.1 พันล้านเหรียญอเมริกา ตัวเลขความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ผนวกกับจุดเด่นข้อได้เปรียบที่มีในปัจจุบันชวนให้คิดได้ว่า เขามีศักยภาพที่จะพัฒนาเศรษฐกิจการค้า การลงทุนได้อย่างรุดหน้าในปีใหม่นี้
 
ในระหว่างการไปฮานอย ผมได้ไปร่วมการประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 6 สหภาพองค์การมิตรภาพระหว่างเวียดนามกับต่างประเทศ (Vietnam Union of Friendship Organizations :VUFO) ตามคำเชิญของนางเหวียน เฟือง งา ประธานสหภาพฯผู้เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรแห่งเวียดนามประจำสหประชาชาติ และเป็นเพื่อนนักการทูตมาด้วยกันตั้งแต่เราทั้งสองยังเล็กๆ ผมร่วมฯ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ทำให้ได้พบกับประธานสมาคมมิตรภาพระหว่างเวียดนามกับไทย ผู้บริหารต่างๆ และอดีตนักการทูตเวียดนามจำนวนมากซึ่งยังทำงานให้แก่รัฐในสมาคมมิตรภาพกับประเทศที่ตนเองเคยเป็นทูต เป็นต้น เวียดนามเฉกเช่นประเทศสังคมนิยมทั้งหลายใช้กลไกสมาคมมิตรภาพในการติดต่อทางการทูตระดับประชาชนกับประเทศเป้าหมาย เราต้องเรียนรู้วิธีจากเขาเพื่อจะคบค้ากับเขาโดยไม่เสียเปรียบหรือเสียประโยชน์ที่เราพึงรักษาไว้ได้ ทูตเฟือง งาเคยบอกกับผมว่า เขาอยากให้สมาคมมิตรภาพระหว่างเวียดนามกับไทย และสมาคมมิตรภาพระหว่างไทยกับเวียดนาม ติดต่อคบค้ากันอย่างใกล้ชิด ผมถือว่าคำกล่าวนี้สำคัญเพราะเป็นการเปิดประตูติดต่อระดับประชาชนที่สำคัญส่งเสริมไปกับการดำเนินการของสถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่
 
การไปฮานอยครั้งนี้ประจวบเหมาะกับฟุตบอลฟีเวอร์ในเวียดนาม เนื่องเพราะมีการแข่งขันชิงเหรียญทองกีฬาฟุตบอลในการแข่งขันซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์ บัดนี้ ผลแข่งขันสรุปไปแล้วว่า เวียดนามเข้าชิงเหรียญทองกับทีมอินโดนีเซีย ชนะขาดลอย 3 ต่อ 0 หลังจากแสดงฝีมือถล่มคู่แข่งทุกทีมยกเว้นไทยที่ยังเสมอกันอยู่เรื่อยๆ ในทัวร์นาเมนท์ต่างๆ เวียดนามได้ชัยชนะเหรียญทองมาเป็นอันดับสองรองจากฟิลิปปินส์เจ้าภาพ และที่สำคัญมากคือ ได้เหรียญทองฟุตบอลซีเกมส์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 60 ปีด้วย และเหรียญทองฟุตบอลหญิงอีกด้วย
 
บทเรียนที่พบเห็นจากการมีชัยเหรียญทองฟุตบอลซีเกมส์ครั้งแรกของเวียดนามนี้ คือ ความตั้งใจ มุมานะ ความเป็นหนึ่งเดียวของจิตใจคนทั้งชาติตั้งแต่ผู้นำจนถึงประชาชนคนสุดท้าย กับทีมฟุตบอลที่เข้มแข็งที่สุดทีมหนึ่งและสต๊าฟโค้ชโดยเฉพาะหัวหน้าโค้ชชาวเกาหลีใต้ที่ทุ่มเท ในวันที่แข่งนั้นทั้งที่สนามกีฬาที่ฟิลิปปินส์และท้องถนนในเมืองต่างๆ ในเวียดนามโดยเฉพาะที่นครโฮจิมินห์ มีการถ่ายทอดสดบนจอขนาดยักษ์บนถนนใหญ่ที่สุดของประเทศ สี่แยกชนสี่แยก คลาคล่ำด้วยคนนับแสนคน ส่วนใหญ่ใส่เสื้อยืดคอกลมสีธงชาติเป็นแบบแผนเดียวกัน หลังมีชัยชนะอย่างขาวสะอาด ก็ได้ขับขี่จักรยานยนต์บีบแตรโห่ร้องโบกธงชาติอย่างถูกอารมณ์ แม้นว่าเรามิใช่คนชาติของเขา ก็พลอยยินดีไปกับเขา เพราะเขาสมควรเป็นที่หนึ่งหลังจากที่รอคอยมาถึง 60 ปี แม้นจะเป็นครั้งแรก แต่ก็เพียงพอที่จะเรียกความเชื่อมั่นของทั้งประเทศ ส่วนครั้งหน้าจะเช่นไรเป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่ก็น่าจะรักษามาตรฐานที่ดีไว้ได้
 
ผู้เขียนเยี่ยมเยียนเวียดนามในเดือนสุดท้ายของปีที่เจ้าบ้านภูมิใจว่าปี 2562 มีนักท่องเที่ยวไปเวียดนามมากเป็นประวัติการณ์คือสูงถึง 18 ล้านคน สูงกว่าปีก่อนร้อยละ 16.2 กอปรด้วย 5.8 ล้านคน จากจีน, 4.3 ล้านคน จากเกาหลีใต้, เกือบหนึ่งล้านคนจากญี่ปุ่น และกว่าเก้าแสนคนจากไต้หวัน จากไทยก็มีไปมากกว่าห้าแสนคน มากกว่าเดิมหนึ่งเท่า ซึ่งกรณีไทยน่าจะมาจากความสะดวกมากขึ้นในการเดินทางหลังจากเพิ่มเที่ยวบินของสายการบินราคาประหยัดสัญชาติเวียดนามในหลายๆ เส้นทาง ซึ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวแก่กันและกันด้วย ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวเวียดนามเดินทางมาไทยมากกว่าหนึ่งล้านคนตั้งแต่ปลายปี 2562 แล้ว
 
เวียดนามพยายามพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว ปรับปรุงการบริการและการอำนวยความสะดวกให้ทันสมัย โดยศึกษาจากไทยซึ่งปี 2562 นี้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาไทยมากถึง 39 ล้านคนเวียดนามดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นผล เช่น ยกเว้นวีซ่าเป็นเวลา 15 วัน แก่นักท่องเที่ยวจากชาติที่เป็นเป้าหมายเพราะมีกำลังซื้อสูง เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ และเบลารุส (เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2558 และกำหนดสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2562) ซึ่งล่าสุดเมื่อกลางเดือนธันวาคมนี้ รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติต่อข้อเสนอผลักดันของคณะกรรมการที่ปรึกษาการท่องเที่ยวและสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม ให้ขยายเวลาโปรโมชั่นออกไปอีก 3 ปี แล้ว เวียดนามก็ศึกษาจากไทย และไทยก็ย่อมจะประสงค์อ้างอิงจากกรณีของเวียดนาม ซึ่งก็ต้องติดตามพัฒนาการกันต่อๆ ไป
 
แม้นว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะมาเป็นอันดับหนึ่ง (คือเกือบหนึ่งในสามของทั้งหมด) ในเวียดนาม แต่ก็ไม่มีผู้ใดในเวียดนามไปผลักดันให้มีการยกเว้นวีซ่า หรือยกเว้นค่าทำวีซ่าให้แก่จีน หรือเสนอให้ทำความตกลงทวิภาคียกเว้นวีซ่าระหว่างเวียดนามกับจีน เนื่องจากเหตุผลความมั่นคงแห่งชาติ เพราะการอนุญาตให้บุคคลสัญชาติจีนจำนวน 1,400 ล้านคน เดินทางเข้าประเทศใดหนึ่งอย่างเสรี โดยไม่มีการกลั่นกรองหรือควบคุม ก็จะเหมือนกับการเปิดทำนบกั้นน้ำให้ท่วมประเทศ เพียงเพราะการต้องการส่งเสริมยอดนักท่องเที่ยวโดยปราศจากการทำวิจัยรายได้ว่ามีจริงเท่าไร ประกอบด้วยอะไรบ้างและอยู่กับใคร แต่ปัจจัยความมั่นคงแห่งชาติต้องสำคัญที่สุด ซึ่งก็โชคดีที่ผู้นำไทยและเวียดนามใช้ปัญญาและมีวิสัยทัศน์ในการวางแผนที่รักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ จึงทำให้ยังไม่มีประเด็นเรื่องการยกเว้นวีซ่าแก่บุคคลสัญชาติจีนเกิดขึ้น
 
การเดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าๆ พบหาเพื่อนใหม่ๆ ชมสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญๆ หาซื้อหนังสือเรียนภาษารับประทานอาหารฝรั่งเศส อาหารเวียดนาม พักผ่อนบ้าง ย่อมเป็นความสุขสมกับความตั้งใจที่ได้ไปท่องเที่ยว จึงขอซินจ่าวจากกรุงฮานอยและถ่ายทอดประสบการณ์มาด้วยประการฉะนี้
 
คมกริช วรคามิน
เอกอัครราชทูตและที่ปรึกษาสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม
 
ภาพ : โพสต์ทูเดย์
ที่มา : แนวหน้า วันที่ 4 มกราคม 2563

@Admin TVBC

สนใจสมัครสมาชิกหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายเลขานุการฯ
โทร: 02-018-6888 ต่อ 4340
Email: tvbc.secretariat@gmail.com

:)