ทบทวนแผนดึงลงทุนแข่งเวียดนาม
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กพอ.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนสิทธิประโยชน์เพื่อจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มากขึ้น เพราะคาดว่าผลจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ทำให้นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีนสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มีการชะลอลงทุน และคาดว่าผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อการลงทุนของต่างชาติในไทยจะหนักที่สุดช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ และจะดีขึ้นไตรมาส 3-4
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงต้องการให้ทบทวนสิทธิประโยชน์ใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ 5 ประเภท ที่มูลค่าลงทุนช่วง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ปีนี้ ยังไม่มากนัก ได้แก่ การแพทย์ มีการลงทุน 379 ล้านบาท, อากาศยาน 244 ล้านบาท, ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ 195 ล้านบาท, ดิจิทัล 16 ล้านบาท และเทคโนโลยี ยังไม่มีการลงทุน รวม 834 ล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม 5 ประเภทคือ เครื่องใช้ไฟฟ้า, อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์และชิ้นส่วน, ปิโตรเคมีภัณฑ์, การท่องเที่ยวและการเกษตรและแปรรูปอาหาร มีการลงทุนรวม 26,238 ล้านบาท
“ที่ประชุมให้พิจารณาว่า ไทยอยากได้อุตสาหกรรมใดแน่ๆ และไม่ต้องการเพิ่มสิทธิประโยชน์กับอุตสาหกรรมเก่า เช่น ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ลงทุนเทคโนโลยี โดยให้ศึกษาสิทธิประโยชน์ของเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ที่ให้ใช้ที่ดินฟรี และเสียภาษีเมื่อบริษัทมีกำไร แต่ไม่ได้หมายความว่า ไทยจะให้สิทธิพิเศษขนาดนั้น ต้องดูว่าอุตสาหกรรมที่ไทยอยากได้คืออะไรก่อประเมินว่า หลังโควิดจบ หลายประเทศจะแข่งขันกันดึงดูดการลงทุนอย่างหนักแน่นอน”
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับทราบการลงทุนในพื้นที่อีอีซีของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วง 5 เดือนปี 63 โดยมีมูลค่าขอรับการส่งเสริม 74,151 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งไม่มากนักหลังโควิด-19 ระบาด คาดว่า การลงทุนครึ่งหลังปี 63 มีสัญญาณดีขึ้น เพราะต่างชาติหลายรายติดต่อเข้ามาลงทุน เช่น กลุ่มที่ต้องการย้ายฐานจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป กลุ่มที่ต้องการลงทุนในเทคโนโลยี 5 จี หรืออุตสาหกรรมทางการแพทย์ สุขอนามัย ซึ่งมีเวลาอีก 4-6 เดือน ที่จะดึงกลุ่มเหล่านี้เข้ามาลงทุน
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 23 มิถุนายน 2563