เทคโนโลยีสัญชาติจีนตั้งฐานสิงคโปร์ ฮับใหม่หนีปมขัดแย้งสหรัฐ
บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีนตกเป็นเป้าโจมตีของรัฐบาลสหรัฐมาอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่ร้อนระอุ ส่งผลให้บริษัทหลายรายต้องหาลู่ทางใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการปะทะกันครั้งนี้ หนึ่งในนั้นคือการย้ายฐานธุรกิจไปยังพื้นที่ปลอดภัย ซึ่ง “สิงคโปร์” กลายเป็นประเทศเนื้อหอมที่บริษัทเทคฯจีนเหล่านี้
บีบีซีรายงานว่า “เทนเซ็นต์” บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีนผู้ให้บริการแอปแชตยอดนิยมอย่าง “วีแชท” ประกาศตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งใหม่ในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “การขยายธุรกิจในสิงคโปร์เป็นการรองรับธุรกิจที่กำลังเติบโตของบริษัทในอาเซียนและพื้นที่อื่น ๆ”
ขณะที่ “อาลีบาบา” บริษัทเทคโนโลยีจีนอีกราย ก็กำลังขยายธุรกิจในสิงคโปร์ โดยลงทุนถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของสิงคโปร์อย่าง “ลาซาด้า” ทั้งยังอยู่ระหว่าง การเจรจาลงทุนในบริษัท “แกร็บ” ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไรด์เฮลลิ่งของสิงคโปร์อีกราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วน “ไบต์แดนซ์” บริษัทแม่ของ “ติ๊กต๊อก” (TikTok) ก็เผยว่า บริษัทมีแผนลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์เร็ว ๆ นี้ รวมทั้งแผนเพิ่มตำแหน่งงานอีกหลายร้อยคนในช่วง 3 ปีข้างหน้า และบริษัทยังได้ยื่นขออนุญาตจัดตั้ง “ธนาคารดิจิทัล” จากธนาคารกลางสิงคโปร์แล้ว โดยร่วมกับ “แอนต์ กรุ๊ป” ของอาลีบาบา และ “ซี” (Sea) ของเทนเซ็นต์
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากที่ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลจีนและสหรัฐยังคงทวีความตึงเครียด ซึ่งบริษัทเทคโนโลยีจีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งดังกล่าว เริ่มจากการแบน “หัวเว่ย” ยักษ์เทคโนโลยีของจีน ก่อนที่ลุกลามไปสู่การแบนแอปพลิเคชั่นและบริษัทเทคโนโลยีจีนรายอื่น โดยล่าสุดวีแชทและติ๊กต๊อกก็ได้ถูกรัฐบาลสหรัฐประกาศแบนไปแล้ว
“ทอมมี่ วู” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำออกซฟอร์ด อีโคโนมิกส์ ระบุว่า “ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เป็นความเสี่ยงที่จะเกิดการแยกระบบเทคโนโลยีของโลกออกจากกัน จึงเข้าใจได้ว่าเหตุใดบริษัทจีนจึงต้องดำเนินธุรกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศจีน”
สิงคโปร์เป็นพื้นที่ดีเยี่ยมสำหรับการลงทุนและเป็นฐานธุรกิจในภูมิภาคโดยได้รับความเชื่อมั่นจากธุรกิจต่างชาติมาอย่างยาวนานในแง่ของระบบการเงินและกฎหมายที่ก้าวหน้า และขณะนี้สิงคโปร์ยังเป็นพื้นที่มั่นคงในสายตาบริษัทจีน ทั้งในแง่ความเป็นกลางระหว่างจีนกับสหรัฐ การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของภูมิภาค ทั้งยังเป็นที่หลีกหนีจากความวุ่นวายทางการเมืองในฮ่องกง ขณะเดียวกัน อาเซียนก็เป็นคู่ค้าระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดของจีนแทนที่สหภาพยุโรปในปีนี้
“นิค เรดเฟิร์น” รองซีอีโอของเราส์ (Rouse) บริษัทปรึกษาธุรกิจของอังกฤษ ระบุว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทเทคโนโลยีจีนไปตั้งฐานธุรกิจในสิงคโปร์มากขึ้น เนื่องจาก “โดยปกติสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคจะดำเนินธุรกิจแทนบริษัทแม่ โดยลงทุนต่อในประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งช่วยให้บริษัทจีนสามารถเลี่ยงการเปิดเผยตัวของทุนจีนโดยตรง” ในกรณีที่มาตรการแบนพุ่งเป้าไปที่บริษัทแม่
ขณะที่ “รุย หม่า” นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจีนมองว่า ความขัดแย้งจีนกับสหรัฐเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่บริษัทเทคฯจีนหันไปสนใจสิงคโปร์มากขึ้น ความเคลื่อนไหวของบริษัทจีนครั้งนี้ไม่ต่างจากการเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในสิงคโปร์ของบริษัทเทคโนโลยีตะวันตก อย่างกูเกิล เฟซบุ๊ก และลิงก์อิน เนื่องจากมองเห็นโอกาสระยะยาวในการขยายธุรกิจทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก “ถ้าบริษัทตะวันตกสามารถก้าวสู่ระดับโลกได้ ทำไมบริษัทจีนจะทำไม่ได้”
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 20 กันยายน 2563