"พาณิชย์" เผย ผู้ประกอบการใช้สิทธิ เอฟทีเอ-จีเอสพี ส่งออกเครื่องแพทย์เพิ่ม หลัง ประเทศคู่ค้ามีความต้องการสูง รับอานิสงส์การแพร่ระบาดของโควิด-19

 

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไปหรือจีเอสพี (GSP) ในช่วงครึ่งปี 2563 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย. 2563 ลดลง 14.26 % มูลค่าการใช้สิทธิฯรวม อยู่ที่ 30,848.59 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ยังดำเนินไปในหลายประเทศ กดดันการส่งออกทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการส่งออกของไทยที่การส่งออกติดลบ

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้สิทธิประโยชน์ทั้งเอฟทีเอ และจีเอสพี ในภาพรวมจะลดลง แต่การใช้สิทธิในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสินค้าเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีการใช้สิทธิ์เพิ่มขึ้นในหลายความตกลงฯ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และยังมีโอกาสส่งออกไปได้จากความต้องการในหลายประเทศที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ดังกล่าว

 

โดยเอฟทีเอ อาเซียน-จีน มีการใช้สิทธิประโยชน์ในกลุ่มสินค้าเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเช่น ถุงมือยาง มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ 46.26ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 75.19 % เทอร์โมมิเตอร์ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 13.47 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 100 % อาเซียน-เกาหลี เช่น เครื่องแต่งกายทำด้วยยางวัลแคไนซ์ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 2.25 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 67% ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์หรือสารทำความสะอาด/ฆ่าเชื้อ มูลค่าการใช้สิทธิฯ 0.10 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 100 % อาเซียน-ญี่ปุ่น เช่น เอทิลแอลกอฮอล์ที่ไม่ได้แปลงสภาพ 

 

มูลค่าการใช้สิทธิฯ 4.37 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 8.73% เสื้อผ้าอื่นๆ เช่น เสื้อผ้าใช้ป้องกัน มูลค่าการใช้สิทธิฯ 0.09 ขยายตัว 54.15 % ไทย-ออสเตรเลีย เช่น เครื่องกรองอากาศ/เครื่องสร้างและลำเลียงออกซิเจน มูลค่าการใช้สิทธิฯ 11.41 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 10% สบู่ที่มีลักษณะเป็นของเหลวหรือครีม มูลค่าการใช้สิทธิฯ 3.17 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 36.22 % สหรัฐอเมริกา เช่น แว่นตาใช้ในการป้องกัน มูลค่าการใช้สิทธิฯ 54.72 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 100% ถุงมือถักที่หุ้มด้วยพลาสติกหรือยาง มูลค่าการใช้สิทธิฯ 4.42ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 72% เป็นต้น

 

อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังประเมินการใช้สิทธิประโยชน์ค่อนข้างยาก เพราะต้องดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบสองของหลายประเทศ ว่าจะมีแนวโน้มอย่างไรและจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้หรือไม่

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 1 ตุลาคม 2563