โครงการช้อปดีมีคืน ซื้อของ 30,000 บาท ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 10,500 บาท เงื่อนไขมีอะไรบ้าง เทียบกับคนละครึ่ง แบบไหนคุ้มกว่ากัน
ช่วงท้ายปี 2020 นี้ เรียกได้ว่ามีโครงการจากภาครัฐออกมารัว ๆ กันเลยทีเดียว ล่าสุดก็มีโครงการ “ช้อปดีมีคืน” เพิ่มเข้ามาอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ทีมงานก็ได้ทำบทความวิธีลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งกันไปแล้ว ทำให้หลายคนอาจจะสงสัยกันว่า แต่ละโครงการมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เงื่อนไขการใช้สิทธิ์มีอะไรบ้าง แล้วแบบไหนคุ้มกว่ากัน สามารถหาคำตอบกันได้ในบทความนี้
โครงการช้อปดีมีคืน คืออะไร ?
สำหรับ โครงการช้อปดีมีคืน คือ หนึ่งในมาตรการจากภาครัฐที่ออกมาเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงปลายปี 2563 (คล้ายช้อปช่วยชาติในปีก่อน ๆ) โดยการให้ประชาชนซื่้อสินค้าและบริการพร้อมเก็บหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปหรือใบเสร็จรับเงิน เพื่อมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง โดยรวมใบเสร็จกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน และสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามลำดับขั้นบันได สูงสุดที่ 10,500 บาท
โดยจะต้องซื้อสินค้าหรือบริการในช่วงระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 นี้เท่านั้น และจะใช้ลดหย่อนภาษีรายได้ของปี 2563 ได้ตอนช่วงเดือน มี.ค. 2564
ใครสามารถใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนได้บ้าง ?
โครงการนี้จะใช้ได้เฉพาะบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีเท่านั้น หากเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษีก็จะไม่สามารถเอาเงินค่าลดหย่อนภาษีตรงนี้ได้ โดยบุคคลที่จะสามารถใช้สิทธิ์ในโครงการช้อปดีมีคืนได้นั้น ต้องมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
* ต้องเป็นผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2563 และเตรียมจะยื่นแบบภาษีในต้นปี 2564
* ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่สามารถใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนได้
* ผู้ที่ลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง ไม่สามารถใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนได้
*
ช้อปดีมีคืน ใช้ซื้ออะไรได้บ้าง ?
* สินค้าและบริการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
* หนังสือ (ยกเว้นนิตยสาร, หนังสือพิมพ์ และ e-Book)
* สินค้าโอทอป (OTOP)
สินค้าและบริการอะไรที่ไม่เข้าร่วม ?
* เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, สุรา, เบียร์ และไวน์
* ค่าน้ำมันและก๊าซ สำหรับเติมยานพาหนะ
* หนังสือพิมพ์, นิตยสาร และ e-Book
* ค่าบริการธุรกิจนำเที่ยว ที่พัก และโรงแรม
* ยาสูบและบุหรี่
* ยานพาหนะรถยนต์, มอเตอร์ไซค์ และเรือ
* สลากกินแบ่งรัฐบาล
ฐานรายได้บุคคลแต่ละแบบลดหย่อนภาษีได้เท่าไร ?
ในตารางนี้จะคำนวณจากการซื้อสินค้าและบริการแบบครบจำนวน 30,000 บาท ซึ่งจะลดหย่อนภาษีได้
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่า คนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้มากที่สุดคือ คนที่มีฐานรายได้สูง ๆ มีฐานการหักภาษีที่สูง ๆ ซึ่งสามารถเอาไปลดหย่อนได้สูงสุดถึง 10,500 บาทเลยทีเดียว แต่หากเป็นคนที่มีรายได้อยู่ในช่วงตั้งแต่ 0 – 300,000 บาทต่อปี โครงการนี้อาจจะดูไม่คุ้มเท่าไหร่นัก เพราะได้เงินคืนน้อยกว่าโครงการคนละครึ่งที่ได้เงินคืน 3,000 บาท
สำหรับใครที่มีรายได้รวมอยู่ช่วง 300,001 – 500,000 บาทต่อปี คงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างโครงการช้อปดีมีคืนและคนละครึ่ง เพราะต่างก็ได้เงินคืนสูงสุด 3,000 บาทเท่ากัน ถ้าเน้นใช้จ่ายรายวันก็แนะนำให้เลือกโครงการคนละครึ่ง หากเน้นซื้อของที่มีมูลค่าสูง ราคาหลักหมื่นก็แนะนำให้ใช้โครงการช้อปดีมีคืนก็คุ้มเช่นกัน
ถ้าสมัครโครงการคนละครึ่งแล้วอยากเปลี่ยนมาใช้ช้อปดีมีคืน ทำได้ไหม ?
หลายคนอาจจะสงสัยกันว่า หากเราสมัครโครงการคนละครึ่งไปก่อนหน้านี้ แล้วจะเปลี่ยนมาใช้ช้อปดีมีคืน สามารถทำได้ไหม เผื่อเอาไปซื้อของใหญ่ช่วงสิ้นปีแทน อันนี้บอกเลยว่า สามารถทำได้โดยการไม่ต้องใช้จ่ายเงินตามที่กำหนด 14 วัน ระบบจะตัดสิทธิ์โครงการคนละครึ่งโดยอัตโนมัติ และสามารถเข้าร่วมโครงการช้อปดีมีคืนได้ตามปกติต่อไป
อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่า โครงการช้อปดีมีคืนนี้ก็คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงท้ายปี 2563 เพื่อให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอย ซึ่งในช่วงท้ายปีนี้เองก็มีของใหม่ ๆ เปิดตัวมากันซะเยอะเหลือเกิน แต่ละอย่างน่าซื้อทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น iPhone 12, PlayStation 5 และอื่น ๆ อีกมากมาย ใครที่กำลังเล็ง ๆ อะไรไว้อยู่ก็ให้รอซื้อหลังวันที่ 23 ตุลาคมนี้เป็นต้นไปได้เลยครับ อ้อ ! แล้วก็อย่าลืมเก็บใบเสร็จไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ ทำหายขึ้นมาจะเอามาลดหย่อนภาษีไม่ได้
ที่มา droidsans.com, กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 23 ตุลาคม 2563