แซนด์บ็อกซ์ สตาร์ทอัพ และระบบนิเวศดิจิทัล
จากซีรีส์ "สตาร์ทอัพ" (Start-Up) หนึ่งในฉากสำคัญคือ “แซนด์บ็อกซ์” ทำหน้าที่เสมือนพี่เลี้ยงคอยแนะนำ ขับเคี่ยวให้สามารถคิดค้นนวัตกรรมที่มีประโยชน์ และมีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ ในความเป็นจริงคือ การบริการแบบ OTT ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
สตาร์ทอัพ (Start-Up) เป็นชื่อซีรีส์เกาหลีที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจุดเด่นของเนื้อหาที่เล่าเรื่องของกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันจะสร้างธุรกิจใหม่ของตนเอง โดยอาศัยการประยุกต์ใช้ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับทักษะการเขียนโค้ดสร้างโปรแกรมทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เพื่อแข่งขันกันสร้างนวัตกรรมที่จะสามารถตอบโจทย์เชิงธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมเกาหลีและประชากรทั่วโลก
ผลผลิตเหล่านี้บางส่วนก็ออกมาในรูปแบบของบริการแบบ Over the top services (OTT) เพื่อเผยแพร่ให้บริการในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยที่ความสำเร็จของกลุ่มคนหนุ่มสาวเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่าได้รับการผลักดันช่วยเหลือมาจากหน่วยงานเอกชนที่ตั้งขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่เป็นเสมือน “แซนด์บ็อกซ์” ที่มีพี่เลี้ยงคอยแนะนำและขับเคี่ยวให้สามารถคิดค้นนวัตกรรมที่มีประโยชน์ และมีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจ โดยมีเดิมพันคือโอกาสได้รับการสนับสนุนด้านเงินร่วมทุนในเบื้องต้น
ส่วนในชีวิตจริงนั้น บริการแบบ OTT คือการให้บริการด้านเนื้อหาสาระ (content) ในระบบเครือข่ายอิสระที่ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงได้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ดังนั้น ผู้ใช้บริการ OTT จึงต้องมีเครื่องมืออุปกรณ์ (เช่น โทรศัพท์มือถือ สมาร์ททีวี เป็นต้น) และความสามารถในการเข้าถึงบริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
OTT ถือเป็นบริการในระบบนิเวศดิจิทัลสมัยใหม่ (New digital ecosystem) มีโครงสร้างหลักประกอบด้วย (ก) เจ้าของแฟลตฟอร์มที่ให้บริการ OTT ซึ่งอาจมีสำนักงานตั้งอยู่ในต่างประเทศหรือไม่ก็ได้ (ข) ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ Internet Service Providers (ISPs) ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างผู้ให้บริการ OTT กับลูกค้าผู้ใช้บริการ (ค) ลูกค้าผู้ใช้บริการที่เป็นคนทั่วไปหรือบริษัทเอกชน และ (ง) อุตสาหกรรมผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารดิจิทัลในหลากหลายรูปแบบ เป็นต้น
ทั้งนี้ ธุรกิจบริการ OTT แบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ (1) ประเภทที่ขายบริการให้กับผู้ใช้บริการโดยตรง มีการจัดเก็บค่าใช้บริการผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (ISPs) อีกต่อหนึ่งก็ได้ ตัวอย่างเช่น บริการแบบคลาวด์และสไกป์ (2) ประเภทให้ใช้ฟรี โดยมีได้รายได้จากค่าโฆษณาที่รับเข้ามา ตัวอย่างเช่น เฟซบุ๊ค กูเกิล ยูทูบ (3) ประเภทที่ให้บริการเชื่อมโยงสาระเนื้อหา (content) และ/หรือผลงานนวัตกรรมของนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ไปถึงผู้ใช้บริการรายย่อย สตาร์ทอัพและธุรกิจทั่วไป ตัวอย่างเช่น บริการของ Apple iTunes และ Amazon
ในปัจจุบัน บริการแบบ OTT จึงมีศักยภาพสูงทั้งในแง่ของการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หรือสตาร์ทอัพ และเป็นทางเลือกในการแลกเปลี่ยนเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปถึงผู้คนทั่วโลก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชนทั่วไปและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อมที่แลกเปลี่ยนเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารการจ้างงาน การศึกษา แฟลตฟอร์มการค้าและบริการด้านบันเทิง สามารถเข้าถึงได้โดยมีต้นทุนค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต
ดังนั้น เมื่อผู้ให้บริการ OTT ในระดับโลก บางรายที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้บริการจำนวนมาก จึงอาจมีอำนาจต่อรองในเชิงตลาดที่เหนือกว่าผู้ให้บริการ ISPs ภายในประเทศอยู่ค่อนข้างมาก (อ้างอิงจาก Panel Discussion Position Paper Regulation OTTs Final PS.pdf ของ ITU)
บทบาทของภาครัฐเองในบางเรื่องก็อาจมีผลเสมือน “แซนด์บ็อกซ์” ที่คอยช่วยสนับสนุนเหล่าสตาร์ทอัพให้อยู่รอดได้เช่นกัน แต่ในทางตรงกันข้าม บางนโยบายของรัฐเองที่อาจมุ่งแต่ผลประโยชน์ในระยะสั้นมากเกินไป ก็อาจเป็นเสมือน “กำแพงปราการ” ที่ขัดขวางความสำเร็จของเหล่าสตาร์ทอัพได้เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น หากรัฐต้องการจะจัดเก็บภาษีจากรายได้โฆษณาของผู้ให้บริการ OTT (เช่น เฟซบุ๊ค ยูทูบ หรือบริษัทพัฒนาแอพพลิเคชั่นด้านนวัตกรรม) เพื่อที่ภาครัฐจะได้มีรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น
ภาครัฐอาจเลือกใช้วิธีทางอ้อมด้วยการหันไปบวกเพิ่มในราคาค่าใช้บริการ ISPs ให้สูงขึ้น แตกต่างกันไปตามประเภทของผู้ใช้บริการของ ISPs วิธีดังกล่าวนี้ก็อาจทำให้ภาครัฐต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ที่เรียกว่า “two-side platforms” ได้เช่นกัน กล่าวคือวิธีดังกล่าวอาจส่งผลกระทบข้ามไปถึงอุปสงค์ต่อบริการ ISPs ในกลุ่มประชาชนทั่วไปให้ต้องปรับลดไปด้วย
ทั้งนี้ก็เพราะว่าประชาชนเหล่านี้ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการในอีกแพลตฟอร์มหนึ่งที่ให้บริการ OTT (เช่น เฟซบุ๊ค ยูทูบ) อยู่ด้วยเช่นกัน คนเหล่านี้ก็เลยพากันใช้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของ ISPs ลดลงตามไปด้วย ถ้าหากว่าบริการแบบ OTT ถูกทำให้มีคุณภาพลดลง (เฉพาะในหมู่ผู้ใช้บริการ OTT ในประเทศนี้เท่านั้น เป็นต้น) เพื่อแก้ลำภาครัฐด้วยการอัดแทรกโฆษณาเพิ่มเข้ามาชดเชยกับรายได้ที่ต้องเสียให้กับมาตรการเพิ่มภาษีของรัฐ
การอัดโฆษณาแทรกเข้าไปมากเกินไปนี้ ก็จะทำให้ผู้ใช้บริการแบบ OTT (เช่น เฟซบุ๊ค) ในประเทศนี้ ต้องเสียเวลาไปกับโฆษณาที่หลีกเลี่ยงได้ยากขึ้นนั่นเอง จนในที่สุดพวกเขาก็อาจใช้งานในแพลตฟอร์มของระบบ ISPs น้อยลงไปด้วย กลายเป็นว่ารัฐเองก็ไม่สามารถจัดเก็บภาษีจากเฟซบุ๊คและยูทูบได้มากขึ้นตามที่ต้องการ
แต่กลับซ้ำร้ายมีผลเสียไปถึงเหล่าสตาร์ทอัพที่ไม่สามารถจะเข้าถึงบริการ OTT ที่มีคุณภาพทัดเทียมกับที่ให้บริการในประเทศอื่น ทำให้ขาดโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารและโอกาสนำเสนอผลงานนวัตกรรมของพวกเขาสู่สายตาตลาดโลกในระดับที่ทัดเทียมกับประเทศอื่น
ในทางกลับกัน หากภาครัฐส่งเสริมให้เหล่าผู้ให้บริการ OTT ได้มีการแข่งขันให้บริการที่ดี และเพิ่มโอกาสร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อมในประเทศได้มากขึ้น ก็น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ในประเทศ ให้พัฒนาก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีในระบบนิเวศดิจิทัลสมัยใหม่และอยู่รอดได้ในเชิงธุรกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมต่อไปในระยะยาว
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 4 ธันวาคม 2563