ส่งออกจีน พุ่งสูงสุดในรอบสองทศวรรษ หลังโดนโควิดถล่ม
ตัวเลข ส่งออกสินค้าของประเทศจีน เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่าสองทศวรรษ ในขณะที่ตัวเลขนำเข้าสินค้าก็เพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง หลังจากที่กิจกรรมการนำเข้าและส่งออกได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดของโรคโคโรนาไวรัสเป็นเวลากว่าหนึ่งปี
ตัวเลขการส่งออกของประเทศจีนในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นถึง 60.6% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนตัวเลขการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นราว 22.2% โดยยอดส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอ เช่น หน้ากากผ้า เนื่องจากทั่วโลกมีความต้องการอุปกรณ์สำหรับใช้ทำงานจากที่บ้านและอุปกรณ์ป้องกันตัวจากโรคระบาด
เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรของประเทศจีน ระบุว่า การที่ตัวเลขการส่งออกในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วมากถึง 60.6% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเลขการส่งออกของเมื่อปีที่แล้วลดลงราว 17% ในขณะที่ตัวเลขการนำเข้าเองก็ลดลง 4% เนื่องจากการระบาดระลอกแรกส่งผลให้ทุกประเทศต้องต่อสู้เพื่อควบคุมการระบาดอย่างหนัก ผู้บริโภคต้องอาศัยอยู่แต่ในบ้าน ธุรกิจซบเซา และระบบเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก
ข้อมูลอย่างเป็นทางการล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม ระบุว่าตัวเลขส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น 54.1% ส่วนตัวเลขส่งออกสินค้าสิ่งทอเพิ่มขึ้น 50.2% ส่งผลให้ประเทศจีนมียอดเกินดุลการค้ารวม 3.3 พันล้านดอลลาร์
ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นและมีความแข็งแกร่งเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการบริโภคในระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น ยุโรป และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ตัวเลขการบริโภคภายในประเทศเองก็ฟื้นตัวเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากการที่ภาครัฐมีคำสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนเดินทางหรือท่องเที่ยวในช่วงตรุษจีนเพื่อป้องกันการระบาดเพิ่มเติม กลับทำให้ประชาชนหันมาจับจ่ายใช้สอยผ่านระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น และแม้ว่าจะพ้นเทศกาลตรุษจีนไปแล้วตัวเลขการบริโภคก็ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่
บริษัทใหญ่หลายแห่งในเมืองกวางตุ้งและจื้อเจียงที่ทำการค้ากับต่างประเทศยังคงเดินหน้าผลิตสินค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ในขณะที่หลายบริษัทนำเข้ายังกันตุนสินค้าประเภทแผงวงจรรวม แร่เหล็ก และน้ำมัน เนื่องจากคาดว่าความต้องการใช้งานสินค้าทั้งส่งออกและนำเข้าจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ทั้งนี้ทางการยังคงเตือนให้ทุกฝ่ายระมัดระวัง เนื่องจากสถานการณ์ฟื้นตัวทางการค้าระหว่างประเทศยังอาจไม่มีความแน่นอนในระยะสั้น
ที่มา business today
วันที่ 8 มีนาคม 2564