"โควิด-19กลายพันธุ์" เวียดนามซ้ำเติมปัญหาซัพพลายเชน
'โควิด-19กลายพันธุ์'เวียดนามซ้ำเติมปัญหาซัพพลายเชน ขณะที่กลุ่มผู้ป่วยรายใหม่อยู่ในจังหวัดบั๊กซาง 57 ราย ในจังหวัดบั๊กนิญ 27 รายทั้งหมดเป็นผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยหรือเชื่อมโยงกับการระบาดแบบกลุ่มก้อน
เวียดนามเตรียมเผชิญหน้ากับภาวะการชะงักงันในอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าเทคโนโลยี ที่ถือเป็นฟันเฟืองหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและมีบทบาทสำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานโลก หลังจากกระทรวงสาธารณสุขเวียดนามประกาศว่าตรวจพบเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ ที่เป็นการผสมระหว่าง 2 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์อินเดียกับสายพันธุ์อังกฤษ ที่สามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วผ่านทางอากาศ
เมื่อวันที่29 พ.ค. “เหวียน แถ่ง ลอง” รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงสาธารณสุขของเวียดนาม ระบุว่า กระทรวงฯได้จัดลำดับพันธุกรรมที่ได้จากผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่กลุ่มหนึ่ง และพบว่า เป็นเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่เป็นการผสมระหว่าง 2 สายพันธุ์คือสายพันธุ์อินเดียกับสายพันธุ์อังกฤษ ที่สามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วผ่านทางอากาศ
ลอง กล่าวว่า รัฐบาลเวียดนามจะประกาศเรื่องการค้นพบนี้อีกครั้ง เพื่อให้ทั่วโลกได้รับรู้โดยทั่วกัน เนื่องจากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่สามารถติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าและห้องปฏิบัติการทดลองที่เป็นผู้เพาะเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ บอกว่า เชื้อไวรัสสามารถจำลองตัวเองเพื่อเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วมาก ซึ่งอธิบายได้ว่า เหตุใดจึงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นจำนวนมากในพื้นที่ต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ที่ผ่านมา เวียดนามรายงานการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งหมด 7 สายพันธุ์คือ B.1.222, B.1.619, D614G, B.1.1.7 (สายพันธุ์อังกฤษ), B.1.351, A.23.1 และ B.1.617.2 (สายพันธุ์อินเดีย)
เมื่อปีที่แล้ว เวียดนามประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการควบคุมการระบาด แต่ขณะนี้กำลังเผชิญกับการระบาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือน เม.ยที่ผ่านมา โดยมีประชาชนเกือบ 3,600 คน จาก 31 เมืองและจังหวัดในเวียดนามป่วยด้วยโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อโควิด-19ในเวียดนามทั้งหมดตั้งแต่เริ่มการระบาดและขณะนี้เวียดนามพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 6,396 คน และมีผู้เสียชีวิต 47 คน
ลอง กล่าวระหว่างการประชุมฉุกเฉินทางออนไลน์เกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19กลายพันธุ์ว่า พบการแพร่ระบาดที่โรงงานหลายแห่งในจังหวัดบั๊กซางและจังหวัดบั๊กนิญ ทางตอนเหนือของประเทศ
“ไวรัสแพร่ระบาดรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในสถานที่ปิด ไม่มีระบบถ่ายเทอากาศและคาดว่าจังหวัดบั๊กซางอาจจะไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในระยะสั้นได้ เนื่องจากบรรดานิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดนี้มีพื้นที่จำกัด และมีคนงานเยอะ ใช้ห้องสุขา ห้องรับประทานอาหารร่วมกัน เดินทางด้วยรถคันเดียวกัน และเช่าบ้านพักอยู่ในบริเวณเดียวกัน” ลอง กล่าวและว่า นิคมอุตสาหกรรมถือเป็นจุดเสี่ยงสูงที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19อย่างรวดเร็วและเมื่อเกิดการระบาดในที่หนึ่งแล้วเชื้อจะแพร่ไปยังที่ใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว จึงยากที่จะควบคุม
กลุ่มผู้ป่วยรายใหม่เกิดจากการติดเชื้อในชุมชน ส่วนหนึ่งอยู่ในจังหวัดบั๊กซาง 57 ราย ในจังหวัดบั๊กนิญ 27 ราย และในกรุงฮานอย เมืองหลวงของประเทศ 1 ราย ทั้งหมดเป็นผู้มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันผลกลุ่มก่อนหน้าหรือเชื่อมโยงกับการระบาดแบบกลุ่มก้อน
ในจังหวัดบั๊กซาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม6 แห่งที่มีคนงานทำงานจำนวนกว่า 240,000 คน ถูกสั่งปิดโรงงาน4แห่งเมื่อวันที่ 18 พ.ค.หลังจากพบผู้ป่วยโรคโควิด-19จำนวนกว่า 320 คน ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.ส่วนจังหวัดบั๊กนิญ ที่มีคนงานประมาณ 330,000 คนประกาศล็อกดาวน์และใช้มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ขณะที่คนงานที่โรงงานซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์และแคนนอนในสองจังหวัดนี้ต้องเข้ารับการตรวจสอบเพื่อหาเชื้อ
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 31 พฤษภาคม 2564