ลาก่อนรถน้ำมัน! คาด รถอีวี จะครองโลกในปี 2033 เร็วกว่าที่เคยประเมิน 5 ปี
การศึกษาใหม่ระบุว่ายอดขาย รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ รถอีวี จะแซงหน้ารถยนต์สันดาปภายในปี 2033 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5 ปี เนื่องจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมถึงความสนใจในการผลักดันความต้องการขนส่งปลอดมลพิษ
บริษัทที่ปรึกษา Ernst & Young LLP มองว่า ใน ยุโรป จีน และ สหรัฐอเมริกา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมียอดขายแซงหน้ารถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันภายในปี 2033 โดยตลาดทั้ง 3 ถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และภายในปี 2045 ยอดขายที่ไม่ใช่รถอีวีจะลดลงเหลือน้อยกว่า 1% ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก
คำสั่งของรัฐบาลในหลายประเทศที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อจะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตรถยนต์และผู้บริโภคต้องเผชิญกับบทลงโทษทางการเงินที่เพิ่มขึ้นสำหรับการขายและซื้อรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลทั่วไป ส่งผลให้เกิดความต้องการรถอีวีในยุโรปและจีน
EY มองว่ายุโรปจะเป็นผู้นำในตลาด เนื่องจากมีแผนที่จะลดการปล่อยมลพิษให้เป็นศูนย์ภายในปี 2028 ขณะที่จุดเปลี่ยนดังกล่าวจะเกิดกับจีนในปี 2033 และตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาในปี 2036 โดยสาเหตุที่สหรัฐฯ ตามหลังตลาดหลักอื่น ๆ ของโลก เนื่องจากในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการยกเลิกหรือผ่อนคลายกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมไปกว่า 125 ฉบับ ทำให้ในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องมาแก้ไข รวมถึงการเสนองบ 174 พันล้านดอลลาร์เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการติดตั้งสถานีชาร์จครึ่งล้านทั่วประเทศ
ไม่ใช่แค่ตัวกฎระเบียบ แต่ความต้องการของผู้บริโภคสำหรับรถอีวีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ตั้งแต่ Model 3 รุ่นขายดีของ Tesla ไปจนถึงรุ่นไฟฟ้าใหม่ที่มาจากผู้ผลิตรถยนต์รุ่นเก่า เช่น รถกระบะ Hummer ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าของ General Motors และรถกระบะไฟฟ้าของ Ford Motor
การศึกษา EY ยังพิจารณาถึงคนเจนมิลเลนเนียลซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงอายุ 20 และ 30 ปีปลาย ซึ่งช่วยขับเคลื่อนการนำรถอีวีมาใช้ ผู้บริโภคเหล่านั้นซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัญหาการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ทำให้เลือกที่จะไม่ใช้บริการขนส่งสาธารณะ ทำให้มีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของเจ้าของรถยนต์ และ 30% ของพวกเขาต้องการใช้รถอีวี
“มุมมองที่เราเห็นจากคนรุ่นมิลเลนเนียลนั้นชัดเจนว่ามีแนวโน้มมากขึ้นที่จะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า”
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับรถยนต์อีวีซึ่งดีกว่า ที่จะต้องเจอปัญหาจากข้อจำกัดที่ของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป เช่น บางเมืองไม่อนุญาตให้ขับรถเครื่องยนต์เข้าในเมือง, หรือไม่สามารถจอดได้ในบางพื้นที่ นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นผู้บริโภค
ทั้งนี้ คาดว่ายุโรปจะเป็นผู้นำในด้านปริมาณการขายรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2031 ส่วนจีนจะกลายเป็นตลาดชั้นนำของโลกสำหรับรถยนต์อีวี ขณะที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลคาดว่าจะมีสัดส่วนเกือบ 2 ใน 3 ของการจดทะเบียนรถยนต์ขนาดเล็กทั้งหมดในปี 2025 แต่ตัวเลขนี้จะลดลง 12% ภายในปี 5 ปี และภายในปี 2030 EY คาดการณ์ว่ารถยนต์ที่ไม่ใช่อีวีจะมีสัดส่วนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของการจดทะเบียนรถยนต์ขนาดเล็กทั้งหมด
ที่มา positioningmag.com
วันที่ 23 มิถุนายน 2564