100 ปี "พรรคคอมมิวนิสต์จีน" กับความท้าทายศตวรรษที่ 2
"พรรคคอมมิวนิสต์จีน" ในวันที่มีอายุครบ 100 ปี มีเป้าหมายทะเยอทะยานมากกว่าเดิม ไม่เพียงสร้างประเทศจีนให้เจริญก้าวหน้าในด้านเศรษฐกิจและทันสมัย แต่ยังเน้นสร้างความยิ่งใหญ่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวใจสำคัญของการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำโลก ในศตวรรษใหม่
‘หยาง ซิน’ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตจีน ประจำประเทศไทย กล่าวในโอกาส “100 ปีแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน วันที่ 1 ก.ค. 2564 และแผนการพัฒนาของจีนตามแนวคิดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง” ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีน ก้าวสู่ศตวรรษที่ 2 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี มุ่งสร้างประเทศให้ทันสมัย ให้เข้มแข็ง ที่สำคัญพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเป็นพรรคเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของโลก สร้างนโยบายด้านการต่างประเทศที่เป็นสันติภาพ
อุปทูตหยาง กล่าวภายในงานสัมมนาครบรอบ “100 ปีแห่งการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนและ 46 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน” จัดโดยศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีนและสมาคมมิตรภาพไทย-จีนว่า "จีน มีการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการสำรองเงินตรามากสุดในโลก มีเทคโนโลยี ไฮเทค มากที่สุดในโลก มีรถไฟความเร็วสูงรวมระยะทางยาวที่สุดในโลก มีสถานีอวกาศ และพรรคคอมมิวนิสต์จีนประสบความสำเร็จในการทำให้ประเทศจีนเจริญรุ่งเรื่อง มาจนถึงปัจจุบัน"
อุปทูตจีนชี้ว่า อีก 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน กับแนวคิดการพัฒนาใหม่ ประกอบด้วย 1.นวัตกรรม สมดุล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเปิดกว้างและการแบ่งปัน 2.การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง 3.สร้างประเทศให้มีความเข้มแข็งด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หยาง กล่าวว่า เนื่องในโอกาสความสัมพันธ์ไทย - จีน ดำเนินมาครบ 46 ปี ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ในการเชื่อมสัมพันธ์ทั้งทางจิตใจ การค้า และการลงทุน ในบริบทด้านเศรษฐกิจ ทั้งไทยและจีนมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกันมาโดยตลอด
ในด้านเศรษฐกิจ ปี 2563 มูลค่าการค้าจีน-ไทยอยู่ที่ 98,630 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.5% ขณะที่คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากจีนมีจำนวน 164 โครงการ รวมเป็นเงินลงทุน 932 ล้านดอลลาร์
จีนเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของไทย และไทยเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับที่ 3 ของจีนในอาเซียน ที่สำคัญ จีนยินดีที่จะร่วมพัฒนาด้านการลงทุนกับประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการร่วมลงทุนกับไทยในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ นักวิจัยอิสระภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอดีตบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น กล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งปกครองจีนมาตั้งแต่ปี 2492 ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจจนสามารถนำพาให้เศรษฐกิจจีน เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ2 ของโลกรองจากสหรัฐ แต่เชื่อว่า จีนจะกลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในระยะเวลาอันสั้น
ส่วนเทคโนโลยี จีนมีความก้าวหน้าหลายด้าน เช่น การขนส่ง สารสนเทศ การแพทย์และอวกาศ แม้เทคโนโลยีบางด้านของจีนจะยังไม่ใช่สิ่งที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก แต่จีนก็สามารถส่งออกและใช้เทคโนโลยีผสานกับความสำเร็จทางเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือในการแสวงหาบทบาทนำในภูมิภาคเอเชีย และในโลกได้
"สิ่งนี้ สะท้อนเจตน์จำนงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ใช้เทคโนโลยีเอาชนะทางการทูตและการต่างประเทศ อย่างที่รู้ดีว่า การทูตวัคซีน ถูกนำมาใช้อย่างมากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยก็ใช้ซิโนแวค เป็นวัคซีนหลัก" สุภลักษณ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของสี ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งท้าทายสำคัญในศตวรรษใหม่หลายประการ เริ่มจาก ประการแรก สหรัฐยังคงเป็นผู้นำในหลายด้าน เช่น การทหารและเทคโนโลยี และสหรัฐจะไม่ยอมให้จีนผงาดขึ้นมาแทนที่สหรัฐได้ง่ายๆ
ผู้นำสหรัฐในยุคปัจจุบันก็เหมือนกับหลายๆคนที่ผ่านมาในอดีตคือ พยายามดำเนินนโยบายกีดกันและป้องกันไม่ให้จีนมีบทบาทมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาททางด้านทหาร
ประการที่สอง ปัญหาที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ยังแก้ไม่ตกคือ ไต้หวัน ซึ่งกลายเป็นเอกเทศมาตั้งแต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจรัฐได้เมื่อ 70 กว่าปีก่อน และมีแนวโน้มจะเกิดความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันมากขึ้น ในยามที่จีนต้องการจะแสดงอำนาจหรือบังคับใช้นโยบายจีนเดียว
ประการที่สาม ความขัดแย้งของจีนกับประเทศในกลุ่มอาเซียนกรณีทะเลจีนใต้และแม่น้ำโขง เป็นสิ่งท้าทายสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในศตวรรษใหม่ ปัญหาทะเลจีนใต้จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อจีนต้องการจะแสดงแสนยานุภาพทางทะเล ในการแข่งขันทางทหารกับสหรัฐ และพันธมิตรในกลุ่มควอด (Quad) ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย
ส่วนปัญหาแม่น้ำโขง อาจจะเกิดความตึงเครียดได้ในระดับท้องถิ่น เมื่อปัญหาสิ่งแวดล้อมปะทุขึ้น เช่น กรณีเกิดภัยแล้งในแม่น้ำโขง ประเทศที่อยู่ลุ่มน้ำตอนล่าง
จีนเป็นคู่ค้าใหญ่ที่สุดของไทย และไทยเป็นคู่ค้าใหญ่อันดับที่ 3 ของจีนในอาเซียน ที่สำคัญ จีนยินดีที่จะร่วมพัฒนาด้านการลงทุนกับประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการร่วมลงทุนกับไทยในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สุภลักษณ์ กล่าวถึงประการสุดท้ายว่า เป็นสิ่งท้าทายอันเนื่องจากความสำเร็จในการพัฒนาของจีนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะเสรีภาพจำเป็นในการพัฒนาให้จีนเจริญรุ่งเรือง และดูเหมือนประธานาธิบดีสี จะมีสไตล์การปกครองแบบเดียวกับประธานเหมา เจ๋อตุง ผู้นำรุ่นก่อตั้งพรรค
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 1 กรกฏาคม 2564