เอเอฟพี - นครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางเศรษฐกิจของเวียดนามเริ่มล็อกดาวน์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ในวันนี้ (9) ด้วยความหวังว่าจะสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ครั้งเลวร้ายที่สุดได้

 

เมืองที่มีประชากร 9 ล้านคน เคยใช้มาตรการจำกัดการเดินทางนาน 1 เดือน แต่อัตราการติดเชื้อยังคงเพิ่มสูงต่อเนื่อง โดยมีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 9,400 ราย

 

ก่อนการระบาดเริ่มขึ้นในปลายเดือน เม.ย. เวียดนามมีผู้ป่วยติดเชื้อน้อยกว่า 3,000 คนจากทั่วทั้งประเทศ

 

ทางการเวียดนามไม่ได้ใช้คำว่าล็อกดาวน์ แต่เรียกมาตรการนี้ว่า “คำสั่งแยกห่างทางสังคม”

 

ผู้อยู่อาศัยในนครโฮจิมินห์ถูกห้ามรวมกลุ่มเกินกว่า 2 คนในที่สาธารณะ และประชาชนได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเพื่อไปซื้ออาหารและยา และในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

 

ตำรวจตั้งด่านตามเส้นทางเข้าเมือง และเฉพาะผู้ที่มีผลตรวจเป็นลบเท่านั้นที่สามารถเข้าเมืองได้

 

ส่วนสายการบินต่างๆ สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 1,700 คนต่อวันไปยังกรุงฮานอย ตามการระบุของเจ้าหน้าที่ด้านการบิน ขณะที่รถไฟระหว่างกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ถูกระงับ

 

“เมืองที่เคยคึกคักพลุกพล่านของเรากลายเป็นเมืองที่เงียบสงบมาก ผมกังวลว่ามาตรการเข้มงวดเหล่านี้ไม่สามารถช่วยได้ เพราะไวรัสกำลังกระจายไปทั่วชุมชน” ชาวเมืองไซ่ง่อน กล่าวกับเอเอฟพี

 

เวียดนามเคยได้รับเสียงชื่นชมในฐานะต้นแบบของการควบคุมการระบาดของเชื้อไวรัสที่เป็นผลจากการติดตามผู้สัมผัสโรคและกักกันโรคอย่างเข้มงวด

 

ผู้สัมผัสติดต่อใกล้ชิดกับผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดอถูกกักตัวในสถานที่กักกันโรคที่รัฐควบคุม

 

แต่นครโฮจิมินห์เป็นเมืองแรกที่ปรับเปลี่ยนนโยบายเข้มงวดดังกล่าว โดยอนุญาตให้ผู้สัมผัสติดต่อใกล้ชิดกักตัวอยู่กับบ้าน เพราะศูนย์กักตัวของรัฐงานล้นมือ

 

ก่อนหน้านี้ สื่อของรัฐรายงานว่า ผู้ต้องขังและผู้คุมมากกว่า 80 คน ที่เรือนจำจี๊ฮว่า ของนครโฮจิมินห์ มีผลตรวจเชื้อเป็นบวก และมีเสียงปืนดังขึ้นจากในเรือนจำเมื่อวันอังคาร แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น

 

เวียดนามเป็นประเทศที่มีผลงานทางเศรษฐกิจดีที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ด้วยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ 6.61% ในไตรมาสที่ 2

 

“การล็อกดาวน์เป็นเรื่องหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้คน ธุรกิจของเราถูกระงับ ทำให้ไม่มีรายได้ ชีวิตค่อนข้างลำบาก” ผู้ค้าอะไหล่รถจักรยานยนต์ กล่าวกับเอเอฟพี

 

เวียดนาม ที่มีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้วเกือบ 4 ล้านโดส ซึ่งทางการต้องการบรรลุการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในสิ้นปีนี้ หรือต้นปี 2565

 

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

วันที่ 9 กรกฏาคม 2564