โมเดอร์นาชี้แจงกรณีอาการกล้ามเนื้อ-เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจากวัคซีน mRNA
บ.โมเดอร์นา แถลงการณ์ชี้แจงอาการกล้ามเนื้อ-เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบหลังจากฉีดวัคซีน mRNA มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย
บริษัท โมเดอร์นา ออกแถลงการณ์กรณีสาธารณสุขของประเทศ เดนมาร์ค สวีเดน และฟินแลนด์ ที่แนะนำให้มีการ หยุดฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นาเป็นการชั่วคราว ในกลุ่มประชาชนที่อายุตั้งแต่ 18 ปีลงมาในประเทศเดนมาร์ค และกลุ่มประชาชนอายุตั้งแต่ 30 ปีลงมาในส่วนของประเทศ สวีเดน และ ฟินแลนด์
โดยบริษัทชี้แจงว่า สำหรับบริษัทโมเดอร์นาแล้ว ความปลอดภัยของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งนับตั้งแต่มีการระบาดมาจนถึงเวลานี้ ได้ส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วโลก และคร่าชีวิตคนไปแล้วกว่า 4 ล้านราย
“บริษัทตระหนักดี ถึงโอกาสการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบภายหลังจากการได้รับวัคซีนประเภท mRNA ซึ่งภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นได้น้อย และผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการไม่มากและหายได้เองภายในเวลาในระยะเวลาอันสั้นภายหลังจากการได้รับการรักษาและการพักผ่อนที่เพียงพอ” แถลงการณ์ของโมเดอร์นาระบุ
โมเดอร์นาชี้แจงต่อไปว่า “เป็นที่ทราบกันดีว่าหากมีการติดเชื้อโควิด-19 ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจะเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นแนวทางป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวที่ดีที่สุด”
จากข้อมูลการวิเคราะห์ล่าสุดในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเครือข่าย US Vaccine Safety Datalink (VSD) จากจำนวนประชากร 6.2 ล้านคนที่ได้รับวัคซีน mRNA นั้นไม่พบว่ามีการบ่งชี้ถึงความปลอดภัยที่เปลี่ยนแปลงไป ภายหลังจากการได้รับวัคซีน mRNA ชนิดใดๆ ก็ตาม
นอกจากนี้แล้ว รายงานจากการวิจัยผ่านทางเครือข่าย Kaiser Permanente จากจำนวนคนที่ได้รับวัคซีนมากกว่า 2.3 ล้านราย ก็พบจำนวนของผู้ที่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเพียง 15 รายในผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA ทั้งหมด โดยคิดเป็นอัตราอุบัติการณ์การเกิดภายหลังจากได้วัคซีนเข็มที่สอง ที่ 5.8 ราย ต่อล้านโดส
โมเดอร์นาแถลง วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทในนาม วัคซีน “สไปค์แวกซ์” (Spikevax) นั้น เป็นวัคซีนที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์และประสิทธิภาพเป็นที่ประจักษ์ ประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในระดับที่สูงมากก็เป็นที่ประจักษ์ทั้งในการนำมาใช้จริงในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ นอกเหนือจากรายงานผลการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 3 จาก COVE study ที่มีมาก่อนหน้านี้ ทางบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะทำการเฝ้าระวังติดตามข้อมูลความปลอดภัยในผลิตภัณฑ์ทุกตัวอย่างใกล้ชิดทั้งในระยะที่ตัวผลิตภัณฑ์เองกำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยในคน และเมื่อถูกมาใช้งานจริง
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 9 ตุลาคม 2564