"ททท." รับลูก "บิ๊กตู่" เปิดให้ต่างชาติเที่ยวไม่กักตัว 1 พ.ย.นี้ ตั้งเป้าปี 64 โกย นทท. 1 ล้านคน
"ททท." รับลูก "บิ๊กตู่" เปิดให้ต่างชาติเที่ยวไม่กักตัว 1 พ.ย.นี้ ตั้งเป้าปี 64 โกย นทท. 1 ล้านคน
เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ประเทศไทยพร้อมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และต้องมีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง แบบไม่ต้องกักตัว และไม่จำกัดพื้นที่ในการท่องเที่ยว
โดย ททท.ตั้งเป้าว่าตลอดปี 2564 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางมาไทย 1 ล้านคน สร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวจากทั้งตลาดในและต่างประเทศ อยู่ที่ 3.2 แสนล้านบาท ส่วนปี 2565 ตั้งเป้าหมายว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามาไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปี 2562 อยู่ที่ 40 ล้านคน สร้างรายได้รวม 2 ตลาด อยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50% ของรายได้รวมปี 2562 ขณะที่ปี 2566 ตั้งเป้าว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เข้ามา 20 ล้านคน คิดเป็น 50% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2562 และหนุนรายได้รวม เพิ่มเป็น 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นการฟื้นตัว 80% ของรายได้รวมในปี 2562
นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า รูปแบบการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวนั้น เน้นย้ำว่านักท่องเที่ยวจะต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR ณ สถานที่ที่ทางราชการกำหนด (ที่พักที่กำหนด) โดยนักท่องเที่ยวจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง และต้องอยู่ในโรงแรมที่พักที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย (เอสเอชเอพลัส) เท่านั้น จนได้รับผลการตรวจหาเชื้อ และเมื่อผลการตรวจหาเชื้อระบุว่าไม่พบเชื้อ จึงจะสามารถเดินทางท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว และไม่จำกัดพื้นที่ได้ ซึ่งตรงนี้นักท่องเที่ยวสามารถเปลี่ยนโรงแรมใหม่ในการเข้าพักได้
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่จะเข้ามาต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำเท่านั้น รวมถึง เป็นประเทศที่มีผลต่อเศรษฐกิจสูง ซึ่งกำหนดไว้อย่างน้อย 10 ประเทศ อาทิ อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และสหรัฐ โดยในที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะมีการเสนอรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำเพิ่มเป็น 20 ประเทศ ซึ่งได้มีการเสนอรายชื่อเบื้องต้นให้ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก. ศบค.) พิจารณาเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม
“หากมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ททท.มองว่าน่าจะมีการยกเลิกการขอใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย (ซีโออี) ด้วย เพราะเป็นเงื่อนไขที่ภาคเอกชนและนักท่องเที่ยว สะท้อนความเห็นมาว่าเป็นเงื่อนไขที่ยุ่งยาก และสร้างภาระให้กับนักท่องเที่ยวสูงมาก ทำให้เมื่อมีการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางมากขึ้น ก็ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการขอซีโออี แต่นักท่องเที่ยวยังต้องแสดงเอกสารหลักฐานการฉีดวัคซีนครบโดส ผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR เอกสารการซื้อประกันโควิด-19 เอกสารการจองที่พักและชำระค่าตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในไทยเอง
ซึ่งการยกเลิกขั้นตอนการขอซีโออีจะเป็นคุณหลายอย่าง โดยเฉพาะช่วยคลายล็อกความยุ่งยากให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันทางกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กำหนดไว้ว่านักท่องเที่ยวจะต้องยื่นขอซีโออีภายในระยะเวลา 30 วันก่อนเดินทาง นานเกินกว่านั้นไม่ได้ แต่ข้อกำหนดดังกล่าวขัดกับพฤติกรรมการจองของนักท่องเที่ยว ที่ต้องการยื่นล่วงหน้านานกว่า 30 วัน เพื่อให้สอดรับกับดีลสินค้าท่องเที่ยวที่หากจองซื้อล่วงหน้านาน ก็จะยิ่งได้ราคาดีขึ้น” นายยุทธศักดิ์ กล่าว
นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำที่รัฐบาลเตรียมอนุมัติให้เดินทางเข้ามาเที่ยวไทยได้แบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ หากมีการยื่นขอซีโออีมาแล้วก่อนหน้านี้ และเดินทางเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป เท่ากับว่าจะได้รับสิทธิเที่ยวได้แบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ทันที
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ทาง ททท.จะเสนอให้มีการตรวจด้วยชุดตรวจเอทีเค สำหรับครั้งที่ 2 เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายแก่นักท่องเที่ยว แต่จะยังคงวิธีการตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยด้วยวิธี RT-PCR เช่นเดิม หลังจากนำร่องดำเนินโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ แล้วคัดกรองพบผู้ติดเชื้อจากการตรวจครั้งแรกเป็นส่วนใหญ่ เพื่อสร้างความสบายใจให้แก่คนไทยว่านักท่องเที่ยวจะไม่ใช่สาเหตุของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 13 ตุลาคม 2564