ที่ปรึกษา อย. สหรัฐฯ มีมติหนุนใช้วัคซีนโควิด Moderna เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นสำหรับผู้สูงอายุเกิน 65 ปีและกลุ่มเสี่ยงสูง
คณะที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ FDA มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวานนี้ (14 ตุลาคม) แนะนำให้ใช้วัคซีนโควิดของบริษัท Moderna เป็นวัคซีนเข็ม 3 หรือเข็มกระตุ้นสำหรับประชาชนอเมริกันในกลุ่มอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อโควิด
โดยมติดังกล่าวมีขึ้นภายหลังการประชุมของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนและผลิตภัณฑ์ชีววิทยาที่เกี่ยวข้อง (Vaccines and Related Biological Products Advisory Committee) เพื่อพิจารณาเรื่องการใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นของ Moderna ตลอดจนพิจารณาเรื่องการขอใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นของ Johnson & Johnson ซึ่งที่ประชุมออกเสียงโหวตด้วยคะแนน 19 ต่อ 0 สนับสนุนให้ใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นของ Moderna ในประชากรกลุ่มดังกล่าว
ขณะที่ ดร.แพทริก มัวร์ สมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษา จากสถาบันการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก กล่าวว่า ข้อมูลวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ Moderna ยื่นขออนุมัติใช้งานนั้น ไม่ได้ให้คำอธิบายที่ดีนัก แต่เป็นไปในแนวทางที่สนับสนุนการลงมติ ซึ่งเขาโหวตเห็นชอบโดยใช้ความรู้สึกส่วนใหญ่มากกว่ายึดถือจากข้อมูลที่จริงจัง
“ตัวข้อมูลเองนั้นไม่แข็งแกร่ง แต่แน่นอนว่ามันกำลังไปในทิศทางที่สนับสนุนการลงคะแนนนี้” เขากล่าว ขณะที่ผลการลงมติส่งผลให้หุ้นของ Moderna พุ่งขึ้นเกือบ 3%
ทั้งนี้หาก FDA ลงนามอนุมัติใช้วัคซีนเข็มกระตุ้นของ Moderna ทางศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด หรือ CDC ของสหรัฐฯ จะมีการประกาศข้อแนะนำว่า ประชาชนกลุ่มใดที่ควรได้รับการฉีด โดยคาดว่าคณะที่ปรึกษาของ CDC จะมีการประชุมเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม มติของคณะที่ปรึกษา FDA มีขึ้นภายหลังจากเมื่อวันอังคาร (12 ตุลาคม) ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่เอกสารสรุปความเห็นที่มีต่อข้อมูลวัคซีนเข็มกระตุ้นของ Moderna ซึ่งคณะนักวิทยาศาสตร์ของ FDA ให้ความเห็นว่า วัคซีนของ Moderna ยังไม่ผ่านเกณฑ์ในการอนุมัติใช้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น สาเหตุหลักคาดว่าเพราะวัคซีน 2 โดสแรกของ Moderna ยังคงมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูง และความแตกต่างในระดับภูมิคุ้มกัน ทั้งก่อนและหลังฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นของ Moderna ยังไม่ห่างมากพอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ยังมีภูมิคุ้มกันระดับสูงจากการฉีด 2 โดสแรก
ที่มา the standard
วันที่ 15 ตุลาคม 2564