กกร. คาดจีดีพีปี 65 โต 5% จับตา โอไมครอน กระทบกิจกรรมธุรกิจ
กกร. ยังเห็นว่าจีดีพีไทยปี 2564 ขยายตัว 0.5% – 1.5% ส่งออกขยายตัว 13.0% – 15.0% ส่วนปี 2565 จีดีพี ไทยขยายตัว 3.0% – 4.5% ส่งออก 3.0% – 5.0% จับตาโอไมครอนกระทบเศรษฐกิจ ส่งออก เอกชนแนะอย่าตื่นตระหนกหวั่นจะกระทบกิจกรรมธุรกิจ
วันที่ 8 ธันวาคม 2564 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เปิดเผย ภายหลังการประชุม กกร. ว่า ประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวสอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ กกร. คาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2564 จะขยายตัวในกรอบ 0.5% – 1.5%
ขณะที่ การส่งออก ขยายตัวในกรอบ 13.0% – 15.0% ผลมาจากความต้องการสูง แต่ประเด็นที่จะต้องเร่งแก้ปัญหาคือการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.0% – 1.2%
ขณะที่ ปี 2565 กกร. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวได้ในกรอบ 3.0% – 4.5% สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่ปีหน้าน่าจะเติบโตที่ 4-5%
ขณะที่ประมาณการการส่งออกจะขยายตัวในกรอบ 3.0% – 5.0% ซึ่งมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกทำให้การส่งออกจะมีการขยายตัวต่อจากปีนี้
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.2% – 2.0% ซึ่งมาจากแนวโน้มของสินค้าโภคภัณฑ์ มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น และปีหน้าสิ่งที่ต้องจับตามองอีกเรื่องคือปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเรื่อง Geopolitics ของหลายประเทศ
โดยปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ะบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ขณะนี้บ่งชี้ว่าสายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และสามารถติดต่อไปยังผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว ส่งผลให้หลายประเทศกลับมาใช้มาตรการจำกัดการเดินทางหรือมาตรการจำกัดกิจกรรมอีกครั้ง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยทั้งภาคการส่งออกและภาคบริการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ “โอไมครอน” อาจทำให้การฟื้นตัวต่อจากนี้ไปได้รับผลกระทบและต้องล่าช้าออกไป โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังการเปิดประเทศเมื่อ 1 พ.ย.
ดังนั้น “โอไมครอน” จึงกลายเป็นความเสี่ยงใหม่ต่อเศรษฐกิจโลกในช่วงต้นปี 2565 นอกเหนือจากความท้าทายที่มีอยู่เดิม ดังนั้น จำเป็นต้องจับตาปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความรวดเร็วของการแพร่ระบาด ซึ่งจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะนี้
สำหรับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 2565 แม้การระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน แต่ด้วยปัจจุบันไทยมีอัตราการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในระดับสูงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการด้านสาธารณสุข และการเข้า-ออก ประเทศที่มีความเข้มงวด
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนเห็นว่าไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป ทุกภาคส่วนควรปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดในระลอกใหม่ซ้ำเติม เนื่องจากที่ผ่านมาเห็นได้ชัดจากบทเรียนของการล็อกดาวน์ว่ามีต้นทุนต่อเศรษฐกิจและสังคมสูงมาก ทั้งผลกระทบโดยตรงจากการหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และทางอ้อมจากการบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการ
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2565 จำเป็นต้องมีนโยบายสำหรับทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้นที่การฟื้นตัวล่าช้าออกไปภาคธุรกิจยังคงฟื้นตัวไม่พร้อมเพรียงกัน (K-shaped recovery) มาตรการพยุงเศรษฐกิจและกำลังซื้อของครัวเรือน รวมถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงินที่มีความต่อเนื่องยังคงมีความจำเป็น
นอกจากนี้ สำหรับปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวควรแก้ไขโดย เร่งขึ้นทะเบียน และมี การจัดสรรวัคซีนให้ เพราะในขณะนี้ประเทศไทยเริ่มมีปริมาณวัคซีนที่เพียงพอมากขึ้น โดยในระหว่างนี้ต้องช่วยกันรณรงค์ให้คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนรีบมาฉีดวัคซีน เพราะอัตราผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 ส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่ได้รับวัคซีน
นายสนั่น กล่าวอีกว่า กกร. ยังได้มีการหารือในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม เรื่องการเร่งปฏิรูปกฎหมาย (กิโยติน) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็ง โดย กกร.ร่วมกับ คณะกรรมการกิโยติน และ คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา ผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ ซึ่งทาง กกร จะมีการแถลงความคืบหน้าของการทำงานร่วมกันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา กกร. ได้หารือและพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เกี่ยวกับเรื่องเช่าซื้อรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ที่ได้มีการปรับปรุงล่าสุด (ฉบับที่ 2) ยังมีความกังวลในด้านการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยรถยนต์ใช้แล้วและรถจักรยานยนต์ รวมถึงเงื่อนไขการคืนรถ จบหนี้ ซึ่งยังส่งผลกระทบวงกว้างเป็นลูกโซ่ต่ออุตสาหกรรมต้นน้ำ และภาคบริการ ตลอดจนการจ้างงาน จึงขอเสนอให้ สคบ.พิจารณาให้เป็นไปตามข้อเสนอของ กกร. ตามหนังสือลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564
นอกจากนี้ กกร. เห็นชอบในการสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนมูลนิธิพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการระดมเงินบริจาคจากภาคเอกชนเพื่อสนับสนุน SME ในการสร้าง Innovation ใหม่ๆ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมได้สนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกับภาคเอกชน ในการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 ปี (2565 – 2567) เป็นเงิน 2,000 ล้านบาท โดยภาคเอกชนเสนอภาครัฐให้สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 8 ธันวาคม 2564