เปิดโผ 10 ธุรกิจสุดฮอตปี 65 อีคอมเมิร์ซ-การแพทย์ มาแรง
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดโผ 10 อันดับดาวรุ่ง-ร่วง เผย “อีคอมเมิร์ซ การแพทย์ เสริมความงาม ขึ้นแท่นธุรกิจดาวรุ่งปีหน้า 2565 ขณะที่ดาวร่วง ธุรกิจผลิตโทรศัพท์ โทรสาร ธุรกิจฟอกย้อม ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ วารสาร ชี้จีดีพีปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5% ส่วนปี 2565 คาดโตอยู่ที่ 4.3% ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น
ลุ้นรัฐต่อโครงการคนละครึ่ง รอบ 4 มองต่างประเทศเริ่มมีผลกระทบจากโควิดสายพันธุ์ โอไมครอน แต่ไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ โลก
วันที่ 16 ธันวาคม 2564 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษา ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและหอการค้าไทย เปิดเผยถึง 10 ธุรกิจดาวรุ่ง และดาวร่วง ปี 2565 ว่า จากการประเมินของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ พบว่าในปี 2565 ผลสำรวจข้อมูล 10 ธุรกิจที่เป็นดาวเด่น ได้แก่
1).ธุรกิจการแพทย์และความงาม และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (ธุรกิที่ทำการซื้อขายผ่านอิเล็กทรอนิกส์)
2).ธุรกิจ แพลตฟอร์ม (ธุรกิจตัวกลางหรือตลาดกลางด้านอิเล็กทรอนิกส์)
3). ธุรกิจโลจิสติกส์ เดลิเวอรี่ และคลังสินค้า ธุรกิจด้านฟินเทค และการชำระเงินผ่านระบบเทคโนโลยี
4).ธุรกิจประกันภัย ประกันชีวิต ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา ธุรกิจการขายส่งสินค้าทางเภสัชภัณฑ์และทางการแพทย์
5).ธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ธุรกิจอาหารเสริมและสุขภาพ
ธุรกิจขายตรง 6.ธุรกิจแปรรูปยาง เช่น ถุงมือยาง ถุงยาง ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป 7.ธุรกิจจัดทำคอนเทนต์ ธุรกิจ youtuber และการรีวิวสินค้า ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ เช่น อาหารสัตว์สำเร็จรูป การดูแลสุขภาพสัตว์ 8.ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ธุรกิจโมเดิร์นเทรด ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 9.ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน และ 10.ธุรกิจบันเทิง ธุรกิจยานยนต์ ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ธุรกิจท่องเที่ยว และบริการต่อเนื่อง
ส่วน 10 ธุรกิจดาวร่วง ได้แก่
1.ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐานและครื่องโทรสาร
2.ธุรกิจฟอกย้อม ธุรกิจหัดถกรรมที่ไม่มีการออกแบบและราคาถูก
3.ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และวารสาร ธุรกิจรับส่งสื่อสิ่งพิมพ์ตามบ้านและสถานที่ทำงาน
4.ธุรกิจโรงพิมพ์การพิมพ์ เช่น หนังสือ แผ่นพับ ธุรกิจคนกลาง
5.ธุรกิจผลิตและขายต้นไม้ดอกไม้ประดิษฐ์ ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ไร้ฝีมือ หรือเสื้อผ้าโหล
6.ธุรกิจเครื่องปั้นดินผา และเซรามิก
7.ธุรกิจร้านถ่ายรูป
8.ธุรกิจนำเที่ยวในประเทศ
9.ธุรกิจของเล่นเด็กและ
10.ธุรกิจคอลเซ็นเตอร์
นอกจากนี้ คาดว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของไทย (จีดีพี) ปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5% ส่วนปี 2565 คาดว่าจีดีพี จะโตอยู่ที่ 4.3% จากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลายตัวลง แต่ในต่างประเทศเริ่มมีผลกระทบจากโควิดสายพันธุ์ โอไมครอน แต่ก็ไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจ โลก หรือทำให้เกิดการย่อตัวลงของเศรษฐกิจในช่วงนี้แต่อย่างใด สังเกตจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นที่ยังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิ จในช่วงหลังจากนี้ เอกชนและศูนย์พยากรณ์ เฝ้าติดตามของขวัญปีใหม่ของรัฐบาล ที่เตรียมออกมาในช่วงสัปดาห์หน้า ลุ้นว่าจะมีการต่อโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และโครงการช้อปดีมีคืน หรือไม่ หากออกโครวการเหล่านี้มาเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของปีที่เหลือ และต้นปี 2565 ได้ ซึ่งจะทำให้เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนได้ในช่วงไตรมาสที่ 2/2565 และในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างโดดเด่น และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% ไว้ 3 ไตรมาส
ทั้งนี้ โดยกรอบพื้นฐานเหล่านี้ ส่งผลให้ 10 ธุรกิจเด่น มีมากถึง 20 รายการ เนื่องจากในปี 2565 ธุรกิจเหล่านี้จะฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดในช่วงไตรมาสที่ 2/2565 เนื่องจากไตรมาสที่ 1/2564 ยังต้องเฝ้าระวังโควิด-19 สายพันธุ์ เดลต้า และโอไมครอนอยู่ จึงคาดว่าเศรษฐกิจ จะฟื้นกลับมาในช่วงไตรมาสที่ 2/2565 และคาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาในปี 2565 ประมาณ 5 ล้านคน ดังนั้น ในปี 2565 ธุรกิจที่ปรับตัวเข้าสู่การเป็นดิจิทัลได้เร็ว ก็จะได้เปรียบและมีอัตราการฟื้นตัวเร็วกว่าธุรกิจอื่น จึงทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ยูทูปเบอร์ และรีวิวเวอร์ เติบโตต่อเนื่อง
“ส่วนธุรกิจดาวร่วง ต่อไปธุรกิจไหนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโมเดิร์น และดิจิทัล จะหายไป และธุรกิจที่เกี่ยวกับกระดาษจะเริ่มหายไป และต้องยอมรับว่าสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นธุรกิจที่เสี่ยงที่จะหายไปหากไม่ปรับตัว สิ่งต่างๆ เหล่านี้เหมือนไก้กับไข่ ที่ทำให้ธุรกิจฟื้นตัว และทำให้การจ้างงานกลับมา รวมถึงในปี 2565 จะได้เห็นการลงทุนใหม่ๆ ในส่วนของการก่อสร้าง ที่อยู่ในธุรกิจดาวรุ่ง นอกจากนี้ จะมีการมาของธุรกิจความสวยความงาม สุขภาพ ที่ใช้สมุนไพรในประเทศมากขึ้น และคาดว่าใช้งบประมาณอยู่ในกรอบลงทุนของภาคเอกชนประมาณ 1 แสนล้านบาท อาทิ การผลิตยา และการสร้างแพลตฟอร์ม ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ประมาณ 0.5-0.7%” นายธนวรรธน์ กล่าว
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 16 ธันวาคม 256