รัฐบาลวางแผนโรดโชว์ต่างประเทศ ประเดิมญี่ปุ่น ก่อนลุยเอเชีย ยุโรป สหรัฐฯ
รัฐบาลวางแผนโรดโชว์ต่างประเทศหลายแห่ง หลังนายกรัฐมนตรีสั่งทีมเศรษฐกิจเดินสายโรดโชว์ให้ข้อมูลมาตรการจูงใจ สร้างความเชื่อมั่นดึงต่างชาติลงทุน ประเดิมญี่ปุ่น ต่อด้วยประเทศผู้ลงทุนหลักที่เปิดประเทศ ทั้งยุโรป และสหรัฐฯ
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลังงานดูแลรับผิดชอบ
โดยจัดทำแผนเพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการลงทุน สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ประกาศหลายมาตรการ
ล่าสุดระหว่างวันที่ 19-23 เม.ย. 2565 รองนายกฯ ได้นำคณะไปจัดกิจกรรมส่งเสริมและชักจูงการลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่น โดยได้ให้ข้อมูลนักลงทุนเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรม S-Curve รวมถึงมาตรการจูงใจนักธุรกิจและนักลงทุนเดินทางเข้ามาพำนักในประเทศไทย โดยถือวีซ่าสำหรับผู้พำนักระยะยาว (LTR)
“การโรดโชว์ในต่างประเทศนั้นเริ่มจากญี่ปุ่นเป็นแห่งแรก ซึ่งตามแผนงานของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอจะทยอยเดินทางไปประเทศที่มีการลงทุนในไทยมากและเปิดประเทศแล้ว เช่น ยุโรป สหรัฐฯ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ซึ่งจะมีทั้งระดับที่รองนายกรัฐมนตรีนำคณะไปในนามของรัฐบาล และระดับการให้ข้อมูลโดยบีโอไอ” น.ส.ไตรศุลี ระบุ
สำหรับข้อมูลการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2564 ที่ผ่านมา มีดังนี้
* การยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด 1,674 โครงการ มูลค่าการลงทุน 642,680 ล้านบาท
* เป็นคำขอของนักลงทุนต่างชาติ 783 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 455,331 ล้านบาท
ปัจจุบันประเทศที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน 10 อันดับแรก ได้แก่
* ญี่ปุ่น 178 โครงการ เงินลงทุน 80,733 ล้านบาท
* จีน 112 โครงการ เงินลงทุน 38,567 ล้านบาท
* สิงคโปร์ 96 โครงการ เงินลงทุน 29,669 ล้านบาท
* สหรัฐฯ 41 โครงการ เงินลงทุน 29,519 ล้านบาท
* ไต้หวัน 39 โครงการ เงินลงทุน 21,804 ล้านบาท
* ออสเตรีย 2 โครงการ เงินลงทุน 14,808 ล้านบาท
* อิตาลี 5 โครงการ เงินลงทุน 13,158 ล้านบาท
* เกาหลีใต้ 28 โครงการ เงินลงทุน 12,419 ล้านบาท
* ฮ่องกง 62 โครงการ เงินลงทุน 12,390 ล้านบาท
* นอร์เวย์ 2 โครงการ เงินลงทุน 10,314 ล้านบาท
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 25 เมษายน 2565