ททท.ลุยเทรดโชว์ปั๊มท่องเที่ยว ดึงต่างชาติทะลุ 20 ล้านคน!
ททท.กางแผนฟื้นท่องเที่ยวเต็มสูบ หลังคาเรือน Test&Go มุ่งเป้าไตรมาส 4 ต่างชาติทะลุ 1 ล้านคนต่อเดือน ขยายฐานตลาดต่อเนื่องถึงปี66 ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติขยับแตะ20 ล้านคน เดินสายงานทราเวล เทรดชั้นนำทั่วโลก ดันขยายสิทธิ “เราเที่ยวด้วยกัน” หนุนไทยเที่ยวไทย
การปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย หลัง ยกเลิก Test&Go ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ทำให้การท่องเที่ยวของไทย ได้รับการตอบรับจาก นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมเปิดแนวรุกเต็มสูบเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งหลังปี2565
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การยกเลิก Test & Go ทำให้ไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยในปี 2565 ททท. ยังคงยึดเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติ 5-15 ล้านคน ภายใต้ 3 ซีนาริโอ ได้แก่
กรณีที่ 1 :
หากประเทศไทยยังไม่สามารถเปิดด่านชายแดนได้ และจีนยังไม่มีนโยบายเปิดประเทศ มีรัสเซีย อินเดีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เดินทางเข้ามาเที่ยวได้ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ประมาณ 5 ล้านคน
กรณีที่ 2 :
หากจีนมีนโยบายเปิดประเทศส่งออกนักท่องเที่ยวไปต่างประเทศได้ในช่วงหลังกลางปี 2565 หรือช่วงวันหยุดชาติจีน (ตุลาคม 2565) คาดว่า จะมีชาวจีนเข้ามาเที่ยวในประเทศประมาณ 2-3 ล้านคน ทำให้ประเมินว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประมาณ 7-8 ล้านคน
ปัจจุบัน ททท.มีความพยายามและเตรียมพร้อมสำหรับทำการตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้ได้ในช่วงเดือนตุลาคม 2565 ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้ตลาดจีนพร้อมกลับมาในช่วงตรุษจีนปี 2566
กรณีที่ 3 :
หากประเทศไทยสามารถเปิดการท่องเที่ยวทางบกได้ในไตรมาส 1/2565 เชื่อมต่อพรมแดนประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ลาว มาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา ประมาณการว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเฉพาะ 4 ประเทศนี้ถึงประมาณ 7-8 ล้านคนและทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ถึงประมาณ 15 ล้านคน
โดยหากรวมรายได้จากคนไทยเดินทางเที่ยวในประเทศปีนี้ที่น่าจะอยู่ที่ 160 ล้านคน-ครั้ง ก็จะทำให้ไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวโดยรวมในปีนี้อยู่ที่ 1.3-1.8 ล้านล้านบาท
Q4 ดันทัวริสต์เดือนละ1ล้านคน :
ททท.ก็ยังคงยึดเป้าหมายนี้ไว้อยู่ แต่จากสถานการณ์ในขณะนี้ททท.ประเมินในปี2565 ไทยน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ราว 7-10 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 6 แสนล้านบาท จากเป้าหมายก่อนหน้านี้ที่ตั้งไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 5-15 ล้านคน ภายใต้ 3 ซีนาริโอดังกล่าว
เนื่องจากมีปัจจัยมาจากตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่แน่ใจว่าจะปิดประเทศถึงเมื่อไหร่ เช่นเดียวกับบางประเทศที่ยังมีนโยบายการกักตัวอยู่ก็ทำให้นักท่องเที่ยวไม่อยากมา ส่วนตลาดรัสเซีย ก็ได้รับผลกระทบ ซึ่งททท.ต้องหาตลาดอื่นมาเสริม อย่าง อินเดีย ตะวันออกกลาง เป็นต้น
ขณะเดียวกันในช่วงที่เหลือของปีนี้ ททท.จะกระตุ้นตลาดต่างชาติให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันอยู่ที่ราวใกล้จะ 2 แสนคนต่อเดือน จะเน้นนำนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าขยับเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยกว่า 3 แสนคนต่อเดือนในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2565
ทั้งตั้งเป้าว่าในช่วงไตรมาส 4 หรือในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มเป็น 1 ล้านคนต่อเดือน ซึ่งถือว่ามีความเป็นไปได้ และมีโอกาสที่จะปรับให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อขยายตลาดต่อเนื่องไปถึงปี2566 ตามเป้าหมายผลักดันนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 20 ล้านคน ซึ่งสอดคล้องกับแผนของททท.ที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าให้ได้ 50% และสร้างรายได้ให้ได้ 80% ของปี2562
ส่วนการกระตุ้นตลาดไทยเที่ยวไทย ททท.ผลักดันขยายสิทธิ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 4” โดยขยายให้เดินทางวันสุดท้ายได้ถึงวันที่ 30 ก.ย.2565 โดยจะนำเงินที่ยังเหลืออยู่จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 ราว 4,000 ล้านบาท สามารถนำมาใช้เพิ่มห้องพักในโครงการได้อีก 1 ล้านสิทธิ หลังศบศ.เห็นชอบก็จะเสนอให้ครม.พิจารณาต่อไป เพื่อให้เริ่มจองสิทธิ์ต่อได้ทันที
โหมรุกเทรดโชว์ตปท. :
นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกาตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยว่าการทำตลาดระยะไกลในปีนี้ททท.โฟกัสกลุ่มตะวันออกกลาง อย่างซาอุดีอาระเบีย, อิสราเอล, คาซัคสถาน, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และละตินอเมริกา โดยจะเร่งตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งอาจเดินทางเข้ามาไทยในช่วงกรีนซีซั่นนี้
ททท.ได้วางแผนเข้าร่วมงานเทรดโชว์ระดับโลกแล้ว 8 งาน อาทิ ILTM Latin America วันที่ 3-6 พฤษภาคม 2565 (บราซิล), งาน German Virtual Mart วันที่ 11-12 พฤษภาคม 2565 (ออนไลน์), งาน ATM 2022/Amazing New Chapters Roadshow to The Kingdom of Saudi Arabia วันที่ 9-12 พฤษภาคม 2565 และ 15-17 พฤษภาคม 2565 (ยูเออี, ซาอุดีอาระเบีย) งาน EDGE Travel Leaders Network 2022 วันที่ 12-15 มิถุนายน 2565 (Aurora, Colorado), งาน Proud Experiences 2022 Trade Show วันที่ 27-29 มิถุนายน 2565 (นิวยอร์ก), งาน Amazing Thailand Roadshow to Denmark & Sweden 2022 วันที่ 22-25 สิงหาคม 2565 (เดนมาร์ก สวีเดน) งาน ILTM North America วันที่ 19-22 กันยายน 2565 (Riviera Maya, Mexico) และงาน WTM London 2022 วันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2565 (ลอนดอน)
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ กล่าวว่าการทำตลาดระยะใกล้ ททท.จะโฟกัส 5 ประเทศหลัก คือ อินเดีย, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, มาเลเซีย และเกาหลีใต้ เพราะเป็นประเทศที่มีการผ่อนคลายมาตรการด้านการท่องเที่ยวสูง สามารถเดินทางเข้า-ออกได้สะดวก และมีเที่ยวบินพาณิชย์กลับมาให้บริการตามปกติ และมีจำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นการขาย ด้วยการเข้าร่วมงานอินเตอร์เนชั่นแนลเทรดโชว์ต่างๆ เช่น SATTE วันที่ 18-20พฤษภาคม ณ ประเทศอินเดีย, Thai Travel Mart Plus 2022 วันที่ 8-10 มิถุนายน ณ จังหวัดภูเก็ต
รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบ B2C โดยทำโปรโมชั่น ร่วมกับสายการบิน, Tour Agents, Tour Operators, OTAs โดยมุ่งจับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น ตลาดออสเตรเลีย เน้นกลุ่ม health & wellness และ leisure ,ตลาดอินเดีย เน้นกลุ่มเลเชอร์ จากเมืองกัลกัตตา ชัยปุระ บังคาลอร์ เชนไน และโคชิ
ส่งเสริมกลุ่มงานแต่งงาน กลุ่ม digital nomads และครอบครัว, ตลาดสิงคโปร์ เน้นกลุ่มเลเชอร์ health & wellness และส่งเสริมการขายกลุ่มกอล์ฟในเมืองพัทยา, ตลาดมาเลเซีย เน้นกลุ่มครอบครัว กลุ่มเลเชอร์ กลุ่ม incentive, luxury car และกลุ่มปั่นจักรยาน, ตลาดเกาหลีใต้ เน้นกลุ่มคู่รัก health & Wellness กลุ่มเลเชอร์ เน้นส่งเสริมการทำชาร์เตอร์ไฟล์ต และกลุ่มลักชัวรี กอล์ฟ
ในด้านการสื่อสารการตลาดท่องเที่ยวในปีนี้ ก็ยังโฟกัสส่งเสริมปีท่องเที่ยวไทย 2565 หรือ“Visit Thailand Year 2022: Amazing New Chapters” นำเสนอการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทยสู่มิติใหม่และวางกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการสร้างคุณค่าและประสบการณ์การท่องเที่ยวมิติใหม่จากสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างจากประเทศคู่แข่ง เน้นการสร้างจุดขายแบบ A to Z
อาทิ A Authentic Artisan , B Bleisure C Community-based Tourism, C Community-based Tourism,D Defining your Thainess, E Eco-tourism, F Forest Bathing เป็นต้น
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 12 พฤษภาคม 2565