โควิด-19 : 1 ก.ค. ไทยเข้าสู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
วันที่ 1 ก.ค. 2565 ประเทศไทยกำหนดให้โรคโควิด-19 สู่ระยะหลังการระบาดใหญ่ (Post-Pandemic) มีผลให้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่อนคลายลง แต่ยังไม่ใช่ระยะของการเป็นโรคประจำถิ่น ตามการยืนยันของ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า การระบาดใหญ่ในประเทศไทยคงไม่มีแล้ว โรคลดความรุนแรงลง และระบบสาธารณสุขรองรับได้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโรคเกิดขึ้น แต่อาจมีเป็นคลัสเตอร์ขึ้นมาบ้างแล้วลดลงไป ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การควบคุม ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม มีระบบเฝ้าระวังและเตรียมการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยหนักและใส่ท่อช่วยหายใจ
สำหรับมาตรการด้านสาธารณสุขชุดใหม่ในระยะหลังการระบาดใหญ่ เป็นไปตามมติของศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด-19 (ศบค.) เมื่อ 17 มิ.ย. ให้ผ่อนปรนกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในประเทศและการเดินทางเข้าประเทศ โดยให้มีผลในวันที่ 1 ก.ค.
ปรับพื้นที่สีเขียว 77 จังหวัดทั่วประเทศ ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงถึงตี 2 :
การปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักรโดยให้มีผล 1 กรกฎาคม 2565 พื้นที่สถานการณ์ ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์เป็นระดับเฝ้าระวัง (สีเขียว) ทั้งประเทศ โดยมาตรการการใส่หน้ากากอนามัย แม้เป็นไปตามสมัครใจ แต่คำแนะนำของ ศบค. ระบุว่า ควรสวมหน้ากากและให้สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แออัด สถานที่ปิด หรือมีการอยู่ใกล้ชิดกับคนจำนวนมาก
ส่วนการบริโภคสุราหรือแอลกอฮอล์ในร้านอาหารในพื้นที่เฝ้าระวังสูงและพื้นที่เฝ้าระวัง ให้เปิดบริการได้ตามปกติตามที่กฎหมายกำหนด นั่นคือ สามารถเปิดได้ถึงเวลา 02.00 น. ส่วนมาตรการคัดกรองอุณหภูมิ ไม่มีความจำเป็นต้องคัดกรองอุณหภูมิในอาคารสถานที่
ส่วนโรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวพักอาศัย จากเดิมที่ไม่อนุญาตให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ตั้งแต่เวลา 14.00-17.00 น.นั้น ได้มีการปลดล็อกแล้ว
นอกจากนี้ ยังผ่อนปรนการถ่ายรายการ ถ่ายภาพยนตร์ ทุกคนต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์
ยกเลิก Thailand Pass ทั้งชาวไทยและต่างชาติ :
ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565 มาตรการเข้าประเทศสำหรับคนไทยและคนต่างชาติ ไม่ต้องลงทะเบียน Thailand Pass
อย่างไรก็ตาม ผู้เดินทางเข้าไทยยังต้องแสดงเอกสารการฉีดวัคซีนครบโดส หรือผลตรวจ RT-PCR หรือผลตรวจ ATK ที่ออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และไม่ต้องมีประกันสุขภาพ
ถอดหน้ากากอนามัยอย่างสมัครใจ แต่มีบางสถานที่ยังให้ใส่อยู่ :
ข้อกำหนดของ ศบค. เรื่องผ่อนคลายข้อปฏิบัติในการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทั่วราชอาณาจักร ราชกิจจานุเบกษา ได้ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 46 ให้การสวมหรือถอดหน้ากากให้เป็นตามความสมัครใจ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ในบางสถานที่ นอกจากนี้ หน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ที่ดูแลบริการสาธารณะ ต่างก็ออกมาประกาศมาตรการของตัวเองเช่นกัน
สำหรับสถานที่ที่ยังต้องใส่หน้ากากอนามัย ได้แก่
* สถานที่นอกอาคารที่แออัด (ตามราชกิจจานุเบกษาผ่อนปรน)
- ให้ประชาชนทั่วไปสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสถานที่หรือในพื้นที่แออัด
- มีการรวมกลุ่มคนจํานวนมาก ไม่สามารถเว้นระยะห่างได้ หรืออากาศระบายถ่ายเทไม่ดี เช่น ขนส่งสาธารณะ ตลาด สนามกีฬาหรือสถานที่แสดงดนตรีที่มีผู้ชม เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อหรือรับเชื้อ
ส่วนสถานที่ภายในอาคาร ให้สวมหน้ากาก
* บนเครื่องบิน
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประกาศผู้โดยสารเดินทางเข้าไทย ต้องสวมหน้ากากอนามัยระหว่างอยู่บนเครื่องบิน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2565
* รถไฟฟ้าบีทีเอส
เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารส่วนรวม รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงกำหนดให้มีการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาการใช้บริการ
* โรงเรียน/สถานศึกษาที่เป็นที่ปิด
น.ส. ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระบุกรณีนี้เมื่อ 24 มิ.ย. ในส่วนของสถานศึกษายังให้ยึดแนวปฎิบัติของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหากจัดการเรียนการสอนในสถานที่ปิดก็ยังจำเป็นจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่
แต่หากมีการจัดกิจกรรมในที่โล่งแจ้งก็สามารถผ่อนปรนการสวมหน้ากากได้
รมว. ศธ. กล่าวว่าการกำหนดมาตรการเช่นนี้ เนื่องจากกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางยังไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้
ยกเลิกรักษาผู้ติดเชื้อโควิดแบบกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) และฮอสปิเทล แต่ให้รักษาตามสิทธิ :
จากกรณีเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง การยกเลิกกรณีที่มีเหตุสมควรเกี่ยวกับโรคโควิด-19 เพื่อรองรับการเป็นโรคประจำถิ่น พ.ศ. 2565 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ประกาศดังกล่าวสิ่งที่จะยกเลิก คือ การรักษาแบบกักตัวที่บ้าน (Home Isolation-HI) และฮอสปิเทล แต่จะปรับให้มาใช้ระบบการรักษาตามสิทธิ์สำหรับผู้ใช้บัตรทองและประกันสังคม
สำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ระบบ HI จะถูกยกเลิกในวันที่ 1 ก.ค. ส่วนประกันสังคมมีผล 4 ก.ค. ปรับการรักษาเป็นรูปแบบ "เจอ แจก จบ" สำหรับผู้ป่วยนอกเช่นเดิม
ผู้ป่วยสีเขียว รักษาที่คลินิกปฐมภูมิที่ตัวเองมีสิทธิ ทั้งหลักประกันสุขภาพบัตรทอง หรือ ประกันสังคม
ผู้ป่วยสีเหลือง ผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพหรือบัตรทอง ยกเลิก UCEP Plus เดิมที่เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินที่เข้ารับการรักษาสถานพยาบาลรัฐและเอกชนใดก็ได้ ให้มารักษาตามสิทธิ โดยแนวทางการรักษาจะให้รักษาแบบผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยในของโรงพยาบาล
ผู้ป่วยอาการสีแดงที่วิกฤต ยังสามารถใช้สิทธิ UCEP เข้ารักษาแห่งใดก็ได้ตามเดิม
ที่มา bcc news Thai
วันที่ 1 กรกฏาคม 2565