"แอตต้า" ชี้บาทอ่อนหนุนต่างชาติตัดสินใจเที่ยวไทยได้ทันที
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการ ท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ แตะระดับ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐนั้น ถือว่าเป็นผลบวกต่อภาคการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากมีผลทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถใช้เงินได้มากขึ้น คือ แลกเงินเป็นเงินบาทได้มากขึ้น ใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการท่องเที่ยวที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยอานิสงส์ของค่าเงินบาทอ่อน เชื่อว่าหากประเมินในตลาดระยะใกล้ บินมาเที่ยวไทยไม่เกิน 7 ชั่วโมง คาดว่าจะช่วยสนับสนุนให้สามารถตัดสินใจมาเที่ยวไทยได้แบบทันทีทันใด เพราะมีค่าใช้จ่ายถูกลง แต่ตลาดระยะไกลอาจไม่ได้เอื้ออานิสงส์เชิงบวกมากนัก เพราะส่วนใหญ่จะวางแผนการเดินทางล่วงหน้าเป็นเดือนไว้อยู่แล้ว
นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า แนวโน้มฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ เราเห็นยอดจองเดินทางท่องเที่ยวไทยล่วงหน้าเข้ามาแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นไป โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ ที่เห็นยอดจองเข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตลาดระยะไกล อาทิ ชาวยุโรป ที่เป็นไฮซีซั่นเที่ยวไทย ซึ่งคาดหวังว่าปีนี้จะกลับมาเที่ยวไทยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะโควิด-19 ที่ทำให้ต้องหยุดเดินทางไป โดยหากประเมินในภาพท่องเที่ยวไทยตอนนี้ ฟื้นตัวดีกว่าปี 2564 แน่นอน เพราะปีที่ผ่านมายังมีโควิดระบาดรุนแรง ทำให้ปิดปีนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพียง 4 แสนคนเท่านั้น แต่ตอนนี้เข้ามาแล้วกว่า 5 ล้านคน นับตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา และคาดว่าในสิ้นเดือนกันยายนนี้ จะสามารถเข้ามาแตะ 6 ล้านคนได้ ตามที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินไว้ด้วย
“เป้าหมายที่ททท. ตั้งไว้ทั้งปี 2565 ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 10 ล้านคน อาจสามารถไปถึงได้ หากนับรวมการเข้ามาของนักท่องเที่ยวทางบก หรือชายแดนต่างๆ บวกกับ 3 ดือนสุดท้ายของปีนี้ อย่างน้อยเชื่อว่าจะมีเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนแน่นอน หากรวมกับตัวเลขที่ได้ในปัจจุบัน ก็แตะ 9 ล้านคนแล้ว ตอนนี้รอลุ้นเพียงแค่จะเข้ามาถึง 1.5 ล้านคนต่อเดือนหรือไม่ เพราะหากเข้ามาถึงก็จะดันตัวเลขได้ตามเป้าหมายที่ 10 ล้านคนได้ แต่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละประเทศยังไม่ได้เปิดประเทศให้พลเมืองเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตลาดที่เป็นฐานลูกค้าหลักของไทยอย่างจีน ที่มองว่าอาจต้องรอถึงปีหน้าจึงจะกลับมาอีกครั้ง” นายศิษฎิวัชร กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 23 กันยายน 2565