"เฟทโก้" เชื่ออีอีซีเสร็จปลุกไทยกลับเป็นสาว18 อีกครั้ง ดึง ’บีโอไอ’ เพิ่มเชื่อมั่นนักลงทุน
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการจัดเสวนาภายใต้โครงการตลาดทุนพบภาครัฐ ครั้งที่ 1/2566 บีโอไอพบนักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบัน ในหัวข้อ “ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน พลิกโฉมประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่” ว่า
บีโอไอถือเป็นองค์กรที่มีความสำคัญ ในการขับเคลื่อนในเรื่องของการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งในการจัดเสวนาในครั้งนี้ ที่ทางเฟทโก้ได้เลือกนำเรื่องการลงทุนมาคุย เพราะในปี 2566 นักลงทุนต่างตั้งคำถามว่าความหวังด้านการลงทุนของเราอยู่ที่ตรงไหน ท่ามกลางความผันผวนของโลก และปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ในปัจจุบัน ความหวังแรกของไทย คือ ภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะสัญญาณการกลับมาเปิดประเทศของจีน ซึ่งจะเป็นแรงพลังดันสำคัญ ที่จะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 11 ล้านคน ในปี 2565 เพิ่มเป็น 25-28 ล้านคน ในปี 2566
นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อว่า อีกหนึ่งความหวังที่สำคัญ คือในเรื่องของการดึงลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของบีโอไอ โดยในปัจจุบันหลายประเทศ และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ อาทิ เอดับบลิวเอส และโซนี่ ได้ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น รวมถึงไทยต้องการการลงทุนรอบใหม่ ดังนั้น การที่ไทยจะพลิกโฉมไทยสู่เศรษฐกิจใหม่ได้นั้น จึงเป็นโจทย์สัคัญที่บีโอไอต้องเดินหน้าผลักดันให้สำเร็จต่อไป
ส่วนเรื่องความกังวลเรื่องเงินทุนไหลออก นั้น ยืนยันว่าการลงทุนจากประเทศต่างๆ อาทิ จีน ยังไหลเข้ามาในไทยอยู่ แต่เงินที่ไหลออกเป็นเงินจากในตลาดทุน ซึ่งผมมองว่าไทยเปรียบเสมือนหลุมหลบภัย ซึ่งหน้าที่หลักของหลุมหลบภัยจะเกิดก็ต่อเมื่อมีภัยพิบัติใหญ่ๆ หรือเกิดความผันผวน หากเราสังเกตจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 หุ้นใหญ่ๆ ปรับตัวดีขึ้น จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้นักลงทุนนำเงินออกจากไทยไปลงทุนที่อื่นต่อ แต่ถ้าเราพลิกโฉมประเทศไทยได้ ก็จะเป็นส่วนช่วยดึงดูดการลงทุนกลับเข้ามาได้อีกครั้ง
“เมื่อโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน และอื่นๆ แล้วเสร็จ ไทยจะกลับมาน่าสนใจเป็นสาว 18 อีกครั้งแน่อน ส่วนเรื่องการเลือกตั้งในมุมของนักลงทุนขอให้การเลือกตั้งสงบ และขอให้เมื่อจบการเลือกตั้งไม่เกิดความขัดแย้ง ไม่ยืดเยื้อ เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ หลังจากนั้นตลาดทุนก็หมุนของเขาไปเอง ย้ำว่าเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแล้ว เชื่อว่าหากการเมืองสงบไม่กระทบต่อการลงทุนแน่นอน” นายกอบศักดิ์ กล่าว
ด้าน นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กล่าวว่า ในเรื่องของการเลือกตั้ง หรือสถานการณ์ทางการเมือง นั้น นักลงทุนที่อยู่ในไทยมานานจะทราบดีว่า เราผ่านการเปลี่ยนแปลงมานับไม่ถ้วน เปลี่ยนรัฐบาลมาหลายชุด แต่นโยบายของประเทศไทย โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ยังมีเสถียรภาพ และยังเป็นนโยบายที่ต้อนรับนักลงทุนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนไทยหรือต่างชาติอยู่เสมอ ซึ่งในส่วนนี้ถือเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และมั่นใจว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ได้มีผลกระทบตอภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม
ส่วนเรื่องภาวะการลงทุนในภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย คาดว่าไทยจะสามารถรักษาระดับการลงทุนให้ไม่ต่ำกว่าปี 2565 ที่มีการลงทุนสูงกว่าช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ได้หรือไม่ นั้น เชื่อว่าในปี 2566 ปัจจัยต่างๆ ในโลกมีความท้าทายมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากขึ้น และมีคู่แข่งที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยจุดแข็ง และความโดดเด่นของไทย ที่นักลงทุนต่างชาติมองว่าไทยเป็นแหล่งลงทุนที่มีความโดดเด่นในภูมิภาค ปัจจัยเหล่านี้บวกกับความมุ่งมั่นกับมาตรการเสริมของภาครัฐ ที่อยากจะมุ่งเป้าไปสู่การสร้างอุตสาหกรรมหลักๆ ทั้ง 5 อุตสาหกรรม ที่ประกอบด้วย บีซีจี อีวี สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และครีเอทีฟ ค่อนข้างมั่นใจว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นหัวจักรที่ขับเคลื่อนการลงทุนของไทยให้ไม่ต่ำกว่าปี 2565 ได้อีกด้วย
ที่มา : มติชน