"สมาคมผู้ค้าปลีกไทย" เผยดัชนีค้าปลีกไตรมาสแรกน่าห่วง หดตัวติดกัน 3 เดือน
เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นค้าปลีกไตรมาสแรกลดลงติดต่อกัน 3 เดือน ผู้บริโภคชะลอจับจ่าย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย วอนรัฐบาลใหม่เร่งออกมาตรการ ร่วมหนุนกำลังซื้อฟื้นโดยเร็ว
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำไตรมาสหนึ่ง ของปี 2566 พบว่า ลดลง 13.5 จุด เนื่องจากกำลังซื้อฐานรากที่อ่อนแอชัดเจน, ต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูง และค่าสาธารณูปโภค
ทั้งนี้แม้จะมีปัจจัยบวกหลากหลาย อาทิ วันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่-ตรุษจีน มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ “ช้อปดีมีคืน” รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถส่งแรงหนุนได้มากพอ
สำหรับดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนจากนี้ (เม.ย.-มิ.ย.) ทรงตัว สะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของธุรกิจต้องใช้เวลานานขึ้น รวมทั้งค่าแรงและค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับกําลังซื้อที่ยังซบเซา
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI)" ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI ไตรมาสหนึ่ง 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาสสี่ 2565 มีความ “น่ากังวล” เนื่องจากปรับลดลงถึง 13.5 จุด ในขณะที่ดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth), ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ต่างพากันปรับตัวลดลงเช่นกัน
กำลังซื้อฐานรากยังอ่อนแอ
ทั้งหมดสะท้อนถึงผู้บริโภคฐานราก ที่มีกำลังซื้ออ่อนแออยู่มาก รวมทั้งภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโดยสาร ส่งผลให้ผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น อีกทั้งมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคลดกิจกรรมนอกบ้านเพิ่มขึ้น ด้วยความกังวลฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้นและโรคฮีทสโตรกหรือโรคลมแดดจากอากาศที่ร้อนจัด
หากมีการพิจารณาดัชนีตามภูมิภาคพบว่าความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมทรงตัวทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคอีสานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงถึงธุรกิจยังคงฟื้นตัวไม่สมดุล เห็นได้ว่าพื้นที่ท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าพื้นที่อื่น
สำหรับธุรกิจห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, สุขภาพและความงาม มีการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง มีการชะลอตัว และร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงไม่ฟื้นตัว
เสนอให้เร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เร่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้สมาคมฯ มีความเห็นว่าหลังการเลือกตั้ง ควรรีบจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อเร่งกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านการสร้างงาน การจ้างงาน และลดภาระค่าครองชีพซึ่งต้องมีมาตรการหลากหลาย มุ่งเป้าให้ตรงกลุ่มต่างๆ ไม่ซ้ำซ้อน เน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน, ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน โดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่องและระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน
“ภาพรวมค้าปลีกไทยมีการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน กำลังซื้อโดยรวมยังเปราะบาง โดย เฉพาะกลุ่มฐานรากที่อ่อนแอ ปัญหาค่าแรงแพง และแรงงานขาดแคลน นับเป็นปัญหาหลักของภาคค้าปลีกและบริการ รัฐบาลใหม่จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ของกลุ่มฐานราก และเพิ่มการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายและท่องเที่ยวภายในประเทศ ด้วยการร่วมมือกับทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เพื่อผลักดันภาพรวมของค้าปลีกไทยกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง”
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ