"ปานปรีย์" ดึงญี่ปุ่นลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ในไทย
"ปานปรีย์" ดึงญี่ปุ่นลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ในไทย พร้อมยืนยันไม่ทิ้งอุตสาหกรรมเดิม ขยายความร่วมมือ "อุตสาหกรรมยานยนต์-ไฟฟ้า-การแพทย์-ชีวภาพ-เศรษฐกิจสร้างสรรค์-เศรษฐกิจดิจิทัล Soft Power
14 ตุลาคม 2566 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ตุลาคมที่ผ่านมาตนได้หารือกับนางคามิกาวะ โยโกะ (Kamikawa Yoko) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นโดยได้หารือเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน พร้อมกับแจ้งให้ทางญี่ปุ่นรับทราบว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในต้นปี 2567
นอกจากนี้ยังแจ้งให้รัฐมนตรีของญี่ปุ่นทราบถึงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของไทยว่า ไทยยังจะไม่ทิ้งอุตสาหกรรมเดิมที่ลงทุนอยู่แล้วแต่หากนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในเศรษฐกิจใหม่ที่ไทยให้การสนับสนุนก็จะได้สิทธิประโยชน์มากกว่า
"ปานปรีย์" พบรมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น ย้ำ "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก"
สำหรับประเด็นหารือที่สำคัญในด้านเศรษฐกิจ ไทยจะดำเนินการ "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก" โดยไทยกับญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่มีคุณภาพและคุณค่าสูง จึงพร้อมจะร่วมกันส่งเสริมเศรษฐกิจใหม่ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล นวัตกรรม เศรษฐกิจสีน้ำเงิน เศรษฐกิจสีเขียว ขยายความร่วมมือในสาขาที่ญี่ปุ่นมีศักยภาพ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจดิจิทัล การสร้างพลังสร้างสรรค์ (Soft Power)
พร้อมกันนี้ยังได้ฝากให้รัฐบาลญี่ปุ่นดูแลเอกชนไทยที่ลงทุนในญี่ปุ่นซึ่งมีประมาณ 30 รายโดยส่วนใหญ่อยู่ในภาคบริการและพลังงานสะอาด ซึ่งรัฐมนตรีคามิกาวะฯ ยินดีที่จะร่วมมือกับไทยในเรื่องนี้ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือในอนุภูมิภาค ภูมิภาคและระหว่างประเทศ เนื่องจากมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่นในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ญี่ปุ่น ACMECS และอาเซียนอยู่แล้ว
โดยทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและท่าทีในภูมิภาคสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน อาทิ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง สถานการณ์ในเมียนมา และความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งไทยและญี่ปุ่นพร้อมร่วมมือเพื่อส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ความมั่นคงและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ